คู่มือหรือแนวทางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่

คู่มือการปฏิบัติงาน
กลุ่มบริหารวิชาการ โรงเรียนบ้านน้ำพุ
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 1
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน  กระทรวงศึกษาธิการ
 
  1. แนวคิดหลักในการบริหารวิชาการ
         การบริหารงานวิชาการเป็นภารกิจที่สำคัญของการบริหารโรงเรียนตามที่พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.  2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ 2)พ.ศ.2545  ถือเป็นงานที่มีความสำคัญที่สุด เป็นหัวใจของการจัดการศึกษา   ซึ่งทั้งผู้บริหาร โรงเรียน คณะครู และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย ต้องมีความรู้ความเข้าใจ ให้ความสำคัญและ มีส่วนร่วมในการวางแผน กำหนดแนวทางปฏิบัติการประเมินผล และการปรับปรุงแก้ไขอย่างเป็น ระบบและต่อเนื่อง มุ่งให้กระจายอำนาจในการบริหารจัดการไปให้สถานศึกษาให้มากที่สุด  ด้วยเจตนารมณ์ที่จะให้สถานศึกษาดำเนินการได้โดยอิสระ  คล่องตัว  รวดเร็ว  สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียน  โรงเรียน  ชุมชน  ท้องถิ่น และการมีส่วนร่วมจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย  ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญทำให้สถานศึกษามีความเข้มแข็งในการบริหารและจัดการ  สามารถพัฒนาหลักสูตรและกระบวนการเรียนรู้ตลอดจนการวัดผล  ประเมินผล  รวมทั้งปัจจัยเกื้อหนุนการพัฒนาคุณภาพนักเรียน  โรงเรียน  ชุมชน  ท้องถิ่น  ได้อย่างมีคุณภาพและมีประสิทธิภาพ
 
  1. วัตถุประสงค์
  1. เพื่อให้บริหารงานด้านวิชาการได้โดยอิสระ  คล่องตัว  รวดเร็ว และ สอดคล้องกับความต้องการของนักเรียน สถานศึกษา  ชุมชน ท้องถิ่น
  2. เพื่อให้การบริหาร และ การจัดการศึกษาของโรงเรียนได้มาตรฐาน และ มีคุณภาพสอดคล้องกับระบบประกันคุณภาพการศึกษา และ ประเมินคุณภาพภายในเพื่อพัฒนาตนเอง และ จากการประเมินหน่วยงานภายนอก
  3. เพื่อให้โรงเรียนพัฒนาหลักสูตร และ กระบวนการเรียนรู้ ตลอดจนปัจจัยหนุนการเรียนรู้ที่สนองต่อความต้องการของผู้เรียน ชุมชน และ ท้องถิ่น  โดยยึดผู้เรียนเป็นสำคัญได้อย่างมีคุณภาพ และ ประสิทธิภาพ
  4. เพื่อให้โรงเรียนได้ประสานความร่วมมือในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา และ ของบุคคล ครอบครัว  องค์กร  หน่วยงาน และ สถาบันอื่นๆอย่างกว้างขวาง
         3. ขอบข่ายและภารกิจผู้รับผิดชอบ
3.1 การพัฒนาหรือการดำเนินการเกี่ยวกับการให้ความเห็นการพัฒนาสาระหลักสูตรท้องถิ่น
3.2 การวางแผนงานด้านวิชาการ
3.3 การจัดการเรียนการสอนในสถานศึกษา
3.4 การพัฒนาหลักสูตรของสถานศึกษา
3.5 การพัฒนากระบวนการเรียนรู้
3.6 การวัดผล ประเมินผล และดำเนินการเทียบโอนผลการเรียน
3.7 การวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาในสถานศึกษา
3.8 การพัฒนาและส่งเสริมให้มีแหล่งเรียนรู้
3.9 การนิเทศการศึกษา
3.10 การแนะแนว
3.11 การพัฒนาระบบประกันคุณภาพภายในและมาตรฐานการศึกษา
3.12 การส่งเสริมชุมชนให้มีความเข้มแข็งทางวิชาการ
3.13 กรประสานความร่วมมือในการพัฒนาวิชาการกับสถานศึกษาและองค์กรอื่น
3.14 การส่งเสริมและสนับสนุนงานวิชาการแก่บุคคล ครอบครัว องค์กร หน่วยงาน สถานประกอบการและสถาบันอื่นที่จัดการศึกษา
3.15 การจัดทำระเบียบและแนวปฏิบัติเกี่ยวกับงานด้านวิชาการของสถานศึกษา
3.16 การคัดเลือกหนังสือ แบบเรียนเพื่อใช้ในสถานศึกษา
3.17 การพัฒนาและใช้สื่อเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา
 
       4. ด้านบริหารวิชาการ
           สถานศึกษาดำเนินการได้ทุกรายการตามภาระงานที่กฎกระทรวงฯ และประกาศสำนักงาน คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานกำหนด
 
ขอบข่ายงานบริหารวิชาการ มีดังนี้
การพัฒนาหรือการดำเนินงานเกี่ยวกับการให้ความเห็นการพัฒนาสาระหลักสูตรท้องถิ่น             
หน้าที่รับผิดชอบปฏิบัติงานดังนี้
1)  วิเคราะห์กรอบสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาจัดทำไว้
2)  วิเคราะห์หลักสูตรสถานศึกษาเพื่อกำหนดจุดเน้นหรือประเด็นที่สถานศึกษาหรือกลุ่มเครือข่ายสถานศึกษาให้ความสำคัญ
3)  ศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลสารสนเทศของสถานศึกษาและชุมชนเพื่อนำมาเป็นข้อมูลจัดทำสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นของสถานศึกษาให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
4)  จัดทำสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นของสถานศึกษาเพื่อนำไปจัดทำรายวิชาพื้นฐานหรือรายวิชาเพิ่มเติมจัดทำคำอธิบายรายวิชา หน่วยการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้ เพื่อจัดประสบการณ์และกิจกรรมการเรียนการสอนให้แก่ผู้เรียนประเมินผลและปรับปรุง
5)  ผู้บริหารสถานศึกษาอนุมัติ
 
 
การวางแผนงานด้านวิชาการ  หน้าที่รับผิดชอบปฏิบัติงานดังนี้
1)  วางแผนงานด้านวิชาการโดยการรวบรวมข้อมูลและกำกับ ดูแล นิเทศและติดตามเกี่ยวกับงานวิชาการ ได้แก่ การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ การวัดผล ประเมินผล และการเทียบโอนผลการเรียนการประกันคุณภาพภายในและมาตรฐานการศึกษา การพัฒนาและใช้สื่อและเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา การพัฒนาและส่งเสริมให้มีแหล่งเรียนรู้การวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาและการส่งเสริมชุมชนให้มีความเข้มแข็งทางวิชาการ
2)  ผู้บริหารสถานศึกษาอนุมัติโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
 
การจัดการเรียนการสอนในสถานศึกษา หน้าที่รับผิดชอบปฏิบัติงานดังนี้
1)  จัดทำแผนการเรียนรู้ทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้โดยความร่วมมือของเครือข่ายสถานศึกษา
2)  จัดการเรียนการสอนทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ทุกช่วงชั้น ตามแนวปฏิรูปการเรียนรู้โดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ บูรณาการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ต่างๆ เพื่อคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียนพัฒนาคุณธรรมนำความรู้ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
3)  ใช้สื่อการเรียนการสอนและแหล่งการเรียนรู้
4)  จัดกิจกรรมพัฒนาห้องสมุด ห้องปฏิบัติการต่างๆ ให้เอื้อต่อการเรียนรู้
5)  ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาการเรียนการสอนทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้
6)  ส่งเสริมการพัฒนาความเป็นเลิศของนักเรียนและช่วยเหลือนักเรียนพิการด้อยโอกาสและมีความสามารถพิเศษ
 
การพัฒนาหลักสูตรของสถานศึกษา  หน้าที่รับผิดชอบปฏิบัติงานดังนี้
                    1)  จัดทำหลักสูตรสถานศึกษาเป็นของตนเอง
1.1  จัดให้มีการวิจัยและพัฒนาหลักสูตรขึ้นใช้เองให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจและสังคมและเป็นต้นแบบให้กับโรงเรียนอื่น
1.2  จัดทำหลักสูตรที่มุ่งเน้นพัฒนานักเรียนให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา มีความรู้และคุณธรรม สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข
1.3  จัดให้มีวิชาต่างๆ ครบถ้วนตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานของกระทรวงศึกษาธิการ
1.4  เพิ่มเติมเนื้อหาสาระของรายวิชาให้สูงและลึกซึ้งมากขึ้นสำหรับกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ ได้แก่ การศึกษาด้านศาสนา ดนตรี นาฏศิลป์ กีฬา อาชีวศึกษา การศึกษาที่ส่งเสริมความเป็นเลิศ ผู้บกพร่อง พิการ และการศึกษาทางเลือก
1.5  เพิ่มเติมเนื้อหาสาระของรายวิชาที่สอดคล้องสภาพปัญหา ความต้องการของผู้เรียน ผู้ปกครอง ชุมชน สังคม และโลก
      2)  สถานศึกษาสามารถจัดทำหลักสูตรการจัดกระบวนการเรียนรู้ การสอนและอื่นๆให้เหมาะสมกับความสามารถของนักเรียนตามกลุ่มเป้าหมายพิเศษ โดยความร่วมมือของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและเครือข่ายสถานศึกษา
      3)  คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานให้ความเห็นชอบหลักสูตรสถานศึกษา
      4)  นิเทศ ติดตาม ประเมินผลและปรับปรุง หลักสูตรสถานศึกษา และรายงานผลให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษารับทราบ
 
การพัฒนากระบวนการเรียนรู้   หน้าที่รับผิดชอบปฏิบัติงานดังนี้
1)  จัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผู้เรียนโดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล
2)  ฝึกทักษะ กระบวนการคิด การจัดการการเผชิญสถานการณ์ และการประยุกต์ความรู้มาใช้เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหา
3)  จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริงฝึกการปฏิบัติให้ทำได้ คิดเป็น ทำเป็น รักการอ่านและเกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง
4)  จัดการเรียนการสอน โดยผสมผสานสาระความรู้ด้านต่างๆ อย่างได้สัดส่วนสมดุลกันรวมทั้งปลูกฝังคุณธรรม ค่านิยมที่ดีงานและคุณลักษณะอันพึ่งประสงค์ไว้ในทุกวิชา
5)  ส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้สอนสามารถจัดบรรยากาศสภาพแวดล้อม สื่อการเรียนและอำนวยความสะดวกเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และมีความรอบรู้ รวมทั้งสามารถใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ ทั้งนี้ ผู้สอนและผู้เรียนอาจเรียนรู้ไปพร้อมกันจากสื่อการเรียนการสอน และแหล่งวิทยาการประเภทต่างๆ
6)  จัดการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นได้ทุกเวลาทุกสถานที่มีการประสานความร่วมมือ กับบิดามารดาและบุคคลในชุมชนทุกฝ่าย เพื่อร่วมกันพัฒนาผู้เรียนตามศักยภาพ
 
 
การวัดผล ประเมินผลและดำเนินการเทียบโอนผลการเรียน   หน้าที่รับผิดชอบปฏิบัติงานดังนี้
1)  กำหนดระเบียบการวัดและประเมินผลของสถานศึกษาตามหลักสูตรสถานศึกษาโดยสอดคล้องกับนโยบายระดับประเทศ
2)  จัดทำเอกสารหลักฐานการศึกษาให้เป็นไปตามระเบียบการวัดและประเมินผลของสถานศึกษา
3)  วัดผล ประเมินผล เทียบโอนประสบการณ์ผลการเรียนและอนุมัติผลการเรียน
4)  จัดให้มีการประเมินผลการเรียนทุกช่วงชั้นและจัดให้มีการซ่อมเสริมกรณีที่มีผู้เรียนไม่ผ่านเกณฑ์การประเมิน
5)  จัดให้มีการพัฒนาเครื่องมือในการวัดและประเมินผล
6)  จัดระบบสารสนเทศด้านการวัดผลประเมินผลและการเทียบโอนผลการเรียนเพื่อใช้ในการอ้างอิง ตรวจสอบและใช้ประโยชน์ในการพัฒนาการเรียนการสอน
7)  ผู้บริหารสถานศึกษาอนุมัติผลการประเมินการเรียนด้านต่างๆ รายปี/รายภาคและตัดสินผลการเรียนการผ่านช่วงชั้นและจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน
8)  การเทียบโอนผลการเรียนเป็นอำนาจของสถานศึกษาที่จะแต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินการเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์วิธีการ ได้แก่ คณะกรรมการเทียบระดับการศึกษา ทั้งในระบบนอกระบบและตามอัธยาศัย คณะกรรมการเทียบโอนผลการเรียน และเสนอคณะกรรมการบริหารหลักสูตรและวิชาการพร้อมทั้งให้ผู้บริหารสถานศึกษาอนุมัติการเทียบโอน
 
การวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาในสถานศึกษา  หน้าที่รับผิดชอบปฏิบัติงานดังนี้
1)  กำหนดนโยบายและแนวทางการใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทำงานของนักเรียน ครู และผู้เกี่ยวข้องกับการศึกษา
2)  พัฒนาครูและนักเรียนให้มีความรู้เกี่ยวกับการปฏิรูปการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการวิจัยเป็นสำคัญในการเรียนรู้ที่ซับซ้อนขึ้นทำให้ผู้เรียนได้ฝึกการคิด การจัดการ การหาเหตุผล ในการตอบปัญหา การผสมผสานความรู้แบบสหวิทยาการและการเรียนรู้ในปัญหาที่ตนสนใจ
3)  พัฒนาคุณภาพการศึกษาด้วยกระบวนการวิจัย
4)  รวบรวม และเผยแพร่ผลการวิจัยเพื่อการเรียนรู้และพัฒนาคุณภาพการศึกษา รวมทั้งสนับสนุนให้ครูนำผลการวิจัยมาใช้ เพื่อพัฒนาการเรียนรู้และพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา
 
การพัฒนาและส่งเสริมให้มีแหล่งเรียนรู้ หน้าที่รับผิดชอบปฏิบัติงานดังนี้
1)  จัดให้มีแหล่งเรียนรู้อย่างหลากหลายทั้งภายในและภายนอกสถานศึกษาให้พอเพียงเพื่อสนับสนุนการแสวงหาความรู้ด้วยตนเองกับการจัดกระบวนการเรียนรู้
2)  จัดระบบแหล่งการเรียนรู้ภายในโรงเรียนให้เอื้อต่อการจัดการเรียนรู้ของผู้เรียน เช่น พัฒนาห้องสมุดหมวดวิชา ห้องสมุดเคลื่อนที่ มุมหนังสือในห้องเรียน ห้องพิพิธภัณฑ์ ห้องมัลติมีเดีย ห้องคอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต ศูนย์วิชาการ ศูนย์วิทยบริการ Resource Center สวนสุขภาพ สวนวรรณคดี สวนหนังสือ สวนธรรมะ เป็นต้น
3)  จัดระบบข้อมูลแหล่งการเรียนรู้ในท้องถิ่นให้เอื้อต่อการจัดการเรียนรู้ของผู้เรียนของสถานศึกษาของตนเอง เช่น จัดเส้นทาง/แผนที่ และระบบการเชื่อมโยงเครือข่ายห้องสมุดประชาชน ห้องสมุดสถาบันการศึกษา พิพิธภัณฑ์ พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ ภูมิปัญญาท้องถิ่น ฯลฯ
4)  ส่งเสริมให้ครูและผู้เรียนได้ใช้แหล่งเรียนรู้ ทั้งในและนอกสถานศึกษาเพื่อพัฒนาการเรียนรู้และนิเทศ กำกับติดตาม ประเมิน และปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
 
การนิเทศการศึกษา  หน้าที่รับผิดชอบปฏิบัติงานดังนี้
1)  สร้างความตระหนักให้แก่ครูและผู้เกี่ยวข้องให้เข้าใจกระบวนการนิเทศภายในว่าเป็นกระบวนการทำงานร่วมกันที่ใช้เหตุผลการนิเทศเป็นการพัฒนาปรับปรุงวิธีการทำงานของแต่ละบุคคลให้มีคุณภาพ การนิเทศเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการบริหาร เพื่อให้ทุกคนเกิดความเชื่อมั่นว่า ได้ปฏิบัติถูกต้อง ก้าวหน้า และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้เรียนและตัวครูเอง
2)  จัดการนิเทศภายในสถานศึกษาให้มีคุณภาพทั่วถึงและต่อเนื่องเป็นระบบและกระบวนการ
3)  จัดระบบนิเทศภายในสถานศึกษาให้เชื่อมโยงกับระบบนิเทศการศึกษาของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
 
การแนะแนวการศึกษา มีหน้าที่รับผิดชอบปฏิบัติงานดังนี้
1)  กำหนดนโยบายการจัดการศึกษาที่มีการแนะแนวเป็นองค์ประกอบสำคัญ โดยให้ทุกคนในสถานศึกษาตระหนักถึงการมีส่วนร่วมในกระบวนการแนะแนวและการดูแลช่วยเหลือนักเรียน
                    2)  จัดระบบงานและโครงสร้างองค์กรแนะนำและดูแลช่วยเหลือนักเรียน
                    3  สร้างความตระหนักให้ครูทุกคนเห็นคุณค่าของการแนะแนวและดูแลช่วยเหลือนักเรียน
4)  ส่งเสริมและพัฒนาให้ครูได้รับความรู้เพิ่มเติมในเรื่องจิตวิทยาและการแนะแนวและดูแลช่วยเหลือนักเรียนเพื่อให้สามารถ บูรณาการ ในการจัดการเรียนรู้และเชื่อมโยง สู่การดำรงชีวิตประจำวัน
5)  คัดเลือกบุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถและบุคลิกภาพที่เหมาะสม ทำหน้าที่ครูแนะแนวครูที่ปรึกษา ครูประจำชั้น และคณะอนุกรรมการแนะแนว
6)  ดูแล กำกับ นิเทศ ติดตามและสนับสนุนการดำเนินงานแนะแนวและดูแลช่วยเหลือนักเรียนอย่างเป็นระบบ
7)  ส่งเสริมความร่วมมือและความเข้าใจอันดีระหว่างครู ผู้ปกครองและชุมชน
8)  ประสานงานด้านการแนะแนว ระหว่างสถานศึกษา องค์กรภาครัฐและเอกชน บ้าน   ศาสน-สถาน ชุมชน ในลักษณะเครือข่ายการแนะแนว
9)  เชื่อมโยงระบบแนะแนวและระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน
 
 
การพัฒนาระบบประกันคุณภาพภายในและมาตรฐานการศึกษา หน้าที่รับผิดชอบปฏิบัติงานดังนี้
1)  กำหนดมาตรฐานการศึกษาเพิ่มเติมของสถานศึกษาให้สอดคล้องกับมาตรฐานการศึกษาชาติ มาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐานมาตรฐานสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและความต้องการของชุมชน
2)  จัดระบบบริหารและสารสนเทศ โดยจัดโครงสร้างการบริหารที่เอื้อต่อการพัฒนางานและการสร้างระบบประกันคุณภาพภายในจัดระบบสารสนเทศให้เป็นหมวดหมู่ ข้อมูล มีความสมบูรณ์เรียกใช้ง่าย สะดวก รวดเร็ว ปรับปรุงให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ
3)  จัดทำแผนสถานศึกษาที่มุ่งเน้นคุณภาพการศึกษา (แผนกลยุทธ์/แผนยุทธศาสตร์)
4)  ดำเนินการตามแผนพัฒนาสถานศึกษาในการดำเนินโครงการ/กิจกรรมสถานศึกษาต้องสร้างระบบการทำงานที่เข้มแข็งเน้นการมีส่วนร่วม และวงจรการพัฒนาคุณภาพของเดมมิ่ง (Deming Cycle)    หรือที่รู้จักกันว่าวงจร PDCA
5)  ตรวจสอบและทบทวนคุณภาพการศึกษาโดยดำเนินการอย่างจริงจังต่อเนื่องด้วยการสนับสนุนให้ครู ผู้ปกครองและชุมชนเข้ามามีส่วนร่วม
6)  ประเมินคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษาตามมาตรฐานที่กำหนดเพื่อรองรับการประเมินคุณภาพภายนอก
7)  จัดทำรายงานคุณภาพการศึกษาประจำปี (SAR) และสรุปรายงานประจำปี โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานเสนอต่อหน่วยงานต้นสังกัดและเผยแพร่ต่อสาธารณชน
 
การส่งเสริมชุมชนให้มีความเข้มแข็งทางวิชาการ มีหน้าที่รับผิดชอบปฏิบัติงานดังนี้
1)  จัดกระบวนการเรียนรู้ร่วมกับบุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เอกชน  องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบัน ศาสนา สถานประกอบการและสถาบันอื่น
2)  ส่งเสริมความเข้มแข็งของชุมชนโดยการจัดกระบวนการเรียนรู้ภายในชุมชน
3)  ส่งเสริมให้ชุมชนมีการจัดการศึกษาอบรมมีการแสวงหาความรู้ ข้อมูล ข่าวสารและรู้จักเลือกสรรภูมิปัญญาและวิทยาการต่างๆ
4)  พัฒนาชุมชนให้สอดคล้องกับสภาพปัญหาและความต้องการรวมทั้งหาวิธีการสนับสนุนให้มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างชุมชน
 
การประสานความร่วมมือในการพัฒนาวิชาการกับสถานศึกษาและองค์กรอื่นมีหน้าที่รับผิดชอบปฏิบัติงานดังนี้
1)  ระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษา ตลอดจนวิทยากรภายนอกและภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อเสริมสร้างพัฒนาการของนักเรียนทุกด้านรวมทั้งสืบสานจารีตประเพณีศิลปวัฒนธรรมของท้องถิ่น
2)  เสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสถานศึกษากับชุมชน ตลอดจนประสานงานกับองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อให้สถานศึกษาเป็นแหล่งวิทยาการของชุมชนและมีส่วนในการพัฒนาชุมชนและท้องถิ่น
3)  ให้บริการด้านวิชาการที่สามารถเชื่อมโยงหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกับแหล่งวิชาการ       ในที่อื่นๆ
4)  จัดกิจกรรมร่วมชุมชน เพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับศิษย์เก่าการประชุมผู้ปกครองนักเรียน การปฏิบัติงานร่วมกับชุมชน การร่วมกิจกรรมกับสถานบันการศึกษาอื่นเป็นต้น
 
การส่งเสริมและสนับสนุนงานวิชาการแก่บุคคล ครอบครัว องค์กร หน่วยงาน สถานประกอบการและสถาบันอื่นที่จัดการศึกษา มีหน้าที่รับผิดชอบปฏิบัติงานดังนี้
1)  ประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจต่อบุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เอกชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการและสถาบันสังคมอื่นในเรื่องเกี่ยวกับสิทธิในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน
2)  จัดให้มีการสร้างความรู้ความเข้าใจ การเพิ่มความพร้อมให้กับบุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการและสถาบันสังคมอื่นที่ร่วมจัดการศึกษา
3)  ร่วมกับบุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เอกชน องค์กร-เอกชน องค์วิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการและสถาบันสังคมอื่นร่วมกันจัดการศึกษาและใช้ทรัพยากรร่วมกันให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้เรียน
4)  ส่งเสริมสนับสนุนให้มีการจัดกิจกรรมการเรียนร่วมกันระหว่างสถานศึกษากับบุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เอกชน องค์กรเอกชน องค์กร-วิชาชีพ  สถาบันศาสนา สถานประกอบการณ์ และสถาบันสังคมอื่น
5)  ส่งเสริมสนับสนุนให้บุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เอกชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการณ์ และสถาบันสังคมอื่น ได้รับความช่วยเหลือทางด้านวิชาการตามความเหมาะสมและจำเป็น
6)  ส่งเสริมและพัฒนาแหล่งเรียนรู้ ทั้งด้านคุณภาพและปริมาณเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต อย่างมีประสิทธิภาพ
 
การจัดทำระเบียบและแนวปฏิบัติเกี่ยวกับงานด้านวิชาการของสถานศึกษา มีหน้าที่รับผิดชอบปฏิบัติงานดังนี้
1)  ศึกษาและวิเคาระห์ระเบียบและแนวปฏิบัติเกี่ยวกับงานด้านวิชาการของสถานศึกษา เพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกรายรับรู้และถือปฏิบัติเป็นแนวเดียวกัน
2)  จัดทำร่างระเบียบและแนวปฏิบัติเกี่ยวกับงานด้านวิชาการของสถานศึกษา เพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายรับรู้และถือปฏิบัติเป็นแนวเดียวกัน
3)  ตรวจสอบร่างระเบียบและแนวปฏิบัติเกี่ยวกับงานด้านวิชาการของสถานศึกษาและแก้ไขปรับปรุง
4)  นำระเบียบและแนวปฏิบัติเกี่ยวกับงานด้านวิชาการของสถานศึกษาไปสู่การปฏิบัติ
5)  ตรวจสอบและประเมินผลการใช้ระเบียบและแนวปฏิบัติเกี่ยวกับงานด้านวิชาการของสถานศึกษาและนำไปแก้ไขปรับปรุงให้เหมาะสมต่อไป
 
การคัดเลือกหนังสือ แบบเรียนเพื่อใช้ในสถานศึกษามีหน้าที่รับผิดชอบปฏิบัติงานดังนี้
1)  ศึกษา วิเคาระห์ คัดเลือกหนังสือเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้ต่างๆ ที่มีคุณภาพสอดคล้องกลับหลักสูตรสถานศึกษาเพื่อเป็นหนังสือแบบเรียนเพื่อใช้ในการจัดการเรียนการสอน
2)  จัดทำหนังสือเรียน หนังสือเสริมประสบการณ์ หนังสืออ่านประกอบ แบบฝึกหัด ใบงาน ใบความรู้เพื่อใช้ประกอบการเรียนการสอน
3)  ตรวจพิจารณาคุณภาพหนังสือเรียน หนังสือเสริมประสบการณ์ หนังสืออ่านประกอบ แบบฝึกหัด ใบงาน ใบความรู้เพื่อใช้ประกอบการเรียนการสอน
 
การพัฒนาและใช้สื่อและเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา มีหน้าที่รับผิดชอบปฏิบัติงานดังนี้
1)  จัดให้มีการร่วมกันกำหนดนโยบาย วางแผนในเรื่องการจัดหาและพัฒนาสื่อการเรียนรู้ และเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาของสถานศึกษา
2)  พัฒนาบุคลากรในสถานศึกษาในเรื่องเกี่ยวกับการพัฒนาสื่อการเรียนรู้และเทคโนโลยี เพื่อการศึกษา พร้อมทั้งให้มีการจัดตั้งเครือข่ายทางวิชาการ ชมรมวิชาการเพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ของสถานศึกษา
3)  พัฒนาและใช้สื่อและเทคโนโลยีทางการศึกษาโดยมุ่งเน้นการพัฒนาสื่อและเทคโนโลยีทางการศึกษาที่ให้ข้อเท็จจริงเพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่ๆเกิดขึ้น โดยเฉพาะหาแหล่งสื่อที่เสริมการจัดการศึกษา ของสถานศึกษาให้มีประสิทธิภาพ
4)  พัฒนาห้องสมุดของสถานศึกษาให้เป็นแหล่งการเรียนรู้ของสถานศึกษาและชุมชน
5)  นิเทศ ติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงานของบุคลากรในการจัดหา ผลิตใช้และพัฒนาสื่อและเทคโนโลยีทางการศึกษา
 
การรับนักเรียน หน้าที่รับผิดชอบปฏิบัติงานดังนี้
1)  ให้สถานศึกษาประสานงานการดำเนินการแบ่งเขตพื้นที่บริการการศึกษาร่วมกัน และเสนอข้อตกลงให้เขตพื้นที่การศึกษาเห็นชอบ
2)  กำหนดแผนการรับนักเรียนของสถานศึกษา โดยประสานงานกับเขตพื้นที่การศึกษา
3)  ดำเนินการรับนักเรียนตามที่แผนกำหนด
4)  ร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ชุมชน ในการติดตามช่วยเหลือนักเรียนที่มีปัญหาในการเข้าเรียน
5)  ประเมินผลและรายงานผลรับเด็กเข้าเรียนให้เขตพื้นที่การศึกษาทราบ
การจัดทำสำมะโนนักเรียน       
มีหน้าที่รับผิดชอบปฏิบัติงานดังนี้
1)  ประสานงานกับชุมชนและท้องถิ่นในการสำรวจข้อมูล จำนวนนักเรียนที่จะเข้ารับบริการ       ทางการศึกษาในเขตบริการของสถานศึกษา
2)  จัดทำสำมะโนผู้เรียนที่จะเข้ารับบริการทางการศึกษาของสถานศึกษา
3)  จัดระบบข้อมูลสารสนเทศจากสำมะโนผู้เรียนให้เขตพื้นที่การศึกษารับทราบ
 
การทัศนศึกษา  มีหน้าที่รับผิดชอบปฏิบัติงานดังนี้
1)  วางแผนการนำนักเรียนไปทัศนศึกษานอกสถานศึกษา
2)  ดำเนินการนำนักเรียนไปทัศนศึกษานอกสถานศึกษา ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนด


 

Adobe Acrobat Document คู่มือการปฏิบัติงาน กลุ่มบริหารวิชาการ  |  ดาวน์โหลดไฟล์
คู่มือการปฏิบัติงาน กลุ่มบริหารงบประมาณ โรงเรียนบ้านน้ำพุ
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 1
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน  กระทรวงศึกษาธิการ

การบริหารและการจัดการศึกษาของโรงเรียนนิติบุคคล  มีวัตถุประสงค์เพื่อให้โรงเรียนจัดการศึกษาอย่างเป็นอิสระ  คล่องตัว  สามารถบริหารการจัดการศึกษาได้สะดวด  รวดเร็ว  มีประสิทธิภาพและมีความรับผิดชอบ
โรงเรียนนิติบุคคล  นอกจากมีอำนาจหน้าที่ตามวัตถุประสงค์ข้างต้นแล้ว  ยังมีอำนาจหน้าที่ตามที่กฏระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการบริหารจัดการและขอบเขตการปฏิบัติหน้าที่ของโรงเรียนขั้นพื้นฐานที่เป็นนิติบุคคลสังกัดเขตพื้นที่การศึกษา  พ.ศ 2546  ลงวันที่ 7 กรกฏาคม  พ.ศ.  2546
กฎหมายการศึกษาแห่งชาติ  และกฎหมายระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ  จึงกำหนดให้โรงเรียนนิติบุคคลมีอำนาจหน้าที่  ดังนี้
  1. ให้ผู้อำนวยการโรงเรียนเป็นผู้แทนนิติบุคคลในกิจการทั่วไปของโรงเรียนที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอก
  2. ให้โรงเรียนมีอำนาจปกครอง  ดูแล  บำรุง  รักษา  ใช้และจัดหาผลประโยชน์จากทรัพย์สินที่มีผู้บริจาคให้  เว้นแต่การจำหน้ายอสังหาริมทรัพย์ที่มีผู้บริจาคให้โรงเรียน  ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานของโรงเรียน
  3. ให้โรงเรียนจดทะเบียนลิขสิทธิ์หรือดำเนินการทางทะเบียนทรัพย์สินต่างๆ  ที่มีผู้อุทิศให้หรือโครงการซื้อ  แลกเปลี่ยนจากรายได้ของสถานศึกษาให้เป็นกรรมสิทธิ์ของสถานศึกษา
  4. กรณีโรงเรียนดำเนินคณดีเป็นผู้ฟ้องร้องหรือถูกฟ้องร้อง  ผู้บริหารจะต้องดำเนินคดีแทนสถานศึกษาหรือถูกฟ้องร่วมกับสถานศึกษา  ถ้าถูกฟ้องโดยมิได้อยู่ในการปฏิบัติราชการ  ในกรอบอำนาจ  ผู้บริหารต้องรับผิดชอบเป็นการเฉพาะตัว
  5. โรงเรียนจัดทำงบดุลประจำปีและรายงานสาธารณะทุกสิ้นปีงบประมาณ
 
งบประมาณที่สถานศึกษานำมาใช้จ่าย
  1. แนวคิด
          การบริหารงานงบประมาณของสถานศึกษามุ่งเน้นความเป็นอิสระ  ในการบริหารจัดการมีความคล่องตัว  โปร่งใส  ตรวจสอบได้  ยึดหลักการบริหารมุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์และบริหารงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงาน  ให้มีการจัดหาผลประโยชน์จากทรัพย์สินของสถานศึกษา  รวมทั้งจัดหารายได้จากบริการมาใช้บริหารจัดการเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา  ส่งผลให้เกิดคุณภาพที่ดีขึ้นต่อผู้เรียน
 
  1. วัตถุประสงค์
เพื่อให้สถานศึกษาบริหารงานด้านงบประมาณมีความเป็นอิสระ  คล่องตัว  โปร่งใสตรวจสอบได้
  1. เพื่อให้ได้ผลผลิต  ผลลัพธ์เป็นไปตามข้อตกลงการให้บริการ
  2. เพื่อให้สถานศึกษาสามารถบริหารจัดการทรัพยากรที่ได้อย่างเพียงพอและประสิทธิภาพ
  1. ขอบข่ายภารกิจ
3.1 กฎหมาย  ระเบียบ  และเอกสารที่เกี่ยวข้อง
1.  พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ  พ.ศ. 2542  และที่แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่  2)
2.  พระราชบัญญัติบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ  พ.ศ.  2546
3.  ระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ  พ.ศ.  2545
4.  หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน  พุทธศักราช  2551
5.  แนวทางการกระจายอำนาจการบริหารและการจัดการศึกษาและสถานศึกษาตามกฎกระทรวง  กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการกระจายอำนาจการบริหารและการจัดการศึกษา  พ.ศ.  2550
 
รายจ่ายตามงบประมาณ 
จำแนกออกเป็น  2  ลักษณะ
  1.  รายจ่ายของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ
  • งบบุคลากร
  • งบดำเนินงาน
  • งบลงทุน
  • งบเงินอุดหนุน
  • งบร่ายจ่ายอื่น
งบบุคลากร  หมายถึง  รายจ่ายที่กำหนดให้จ่ายเพื่อการบริหารงานบุคคลภาครัฐ  ได้แก่รายจ่ายที่จ่ายในลักษณะเงินเดือน  ค่าจ้างประจำ  ค่าจ้างชั่วคราว  และค่าตอบแทนพนักงานราชการ  รวมถึงรายจ่ายที่กำหนดให้จ่ายจากงบรายจ่ายอื่นใดในลักษณะรายจ่ายดังกล่าว
งบดำเนินงาน  หมายถึง  รายจ่ายที่กำหนดให้จ่ายเพื่อการบริหารงานประจำ  ได้แก่  รายจ่ายที่จ่ายใน
ลักษณะค่าตอบแทน  ค่าใช้สอย  ค่าวัสดุ  และค่าสาธารณูปโภค  รวมถึงราจ่ายที่กำหนดให้จ่ายจากงบรายจ่ายอื่นใดในลักษณะรายจ่ายดังกล่าว
          งบลงทุน  หมายถึง  รายจ่ายที่กำหนดให้จ่ายเพื่อการลงทุน  ได้แก่  รายจ่ายที่จ่ายในลักษณะค่าครุภัณฑ์  ค่าที่ดินและสิ่งก่อสร้าง  รวมถึงรายจ่ายที่กำหนดให้จ่ายจากงบรายจ่ายอื่นใดในลักษณะรายจ่ายดังกล่าว
งบดำเนินงาน  หมายถึง  รายจ่ายที่กำหนดให้จ่ายเพื่อการบริหารงานประจำ  ได้แก่  รายจ่ายที่จ่ายใน
ลักษณะค่าตอบแทน  ค่าใช้สอย  ค่าวัสดุ  และค่าสาธารณูปโภค  รวมถึงรายจ่ายที่กำหนดให้จ่ายจากงบรายจ่ายอื่นใดในลักษณะรายจ่ายดังกล่าว
          งบลงทุน  หมายถึง  รายจ่ายที่กำหนให้จ่ายเพื่อการลงทุน  ได้แก่  รายจ่ายที่จ่ายในลักษณะค่าครุภัณฑ์  ค่าที่ดินและสิ่งก่อนสร้าง  รวมถึงรายจ่ายที่กำหนดให้จ่ายจากงบรายจ่ายอื่นใดในลักษณะรายจ่ายดังกล่าว
          งบเงินอุดหนุน  หมายถึง  รายจ่ายที่กำหนดให้จ่ายเป็นค่าบำรุงหรือเพื่อช่วยเหลือสนับสนุนงานของหน่วยงานอิสระตามรัฐธรรมนูญหรือหน่วยงานของรัฐ  ซึ่งมิใช่ส่วนกลางตาม  พ.ร.บ.  ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน  หน่วยงานในกำกับของรัฐ  องค์การมหาชน  รัฐวิสาหกิจ  องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น  รวมถึงเงินอุดหนุน  งบพระมหากษัตริย์  เงินอุดหนุนศาสนา
          งบรายจ่ายอื่น  หมายถึง  รายจ่ายที่ไม่เข้าลักษณะประเภทงบรายจ่ายใดงบรายจ่ายหนึ่ง  หรือรายจ่ายที่สำนักงานงบประมาณกำหนดให้ใช้จ่ายในงบรายจ่ายนี้  เช่น  เงินราชการลับ  เงินค่าปรับ  ที่จ่ายคืนให้แก่ผู้ขายหรือผู้รับจ้าง  ฯลฯ
          อัตราเงินอุดหนุนรายหัวนักเรียนต่อปีการศึกษา
                    ระดับก่อนประถมศึกษา                      1,836  บาท
                    ระดับประถมศึกษา                            2,052  บาท
                    ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น                     3,780  บาท
          การจัดสรรเงินอุดหนุนรายหัวนักเรียน  แบ่งการใช้ตามสัดส่วน  ด้านวิชาการ  :  ด้านบริหารทั่วไป  :  สำรองจ่ายทั้ง  2  ด้านคือ
  1.  ด้านวิชาการ  ให้สัดส่วนไม่น้อยกว่าร้อยละ  60  นำไปใช้ได้ในเรื่อง
    1. จัดหาวัสดุและครุภัณฑ์ที่จำเป็นต่อการเรียนการสอน
    2. โครงการที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
    3. การพัฒนาบุคลาการด้านการสอน  เช่น  ส่งครูเข้าอบรมสัมมนา  ค่าจ้างชั่วคราวของครูปฏิบัติการสอน  ค่าสอนพิเศษ
  2. ด้านบริหารทั่วไป  ให้สัดส่วนไม่เกินร้อยละ  30  นำไปใช้ได้ในเรื่อง
  1.  
    1. ค่าวัสดุ  ครุภัณฑ์และค่าที่ดิน  สิ่งก่อสร้าง  ค่าจ้างชั่วคราวที่ไม่ใช่ปฏิบัติการสอนค่าตอบแทน  ค่าใช้สอย
    2. สำรองจ่ายนอกเหนือด้านวิชาการและด้านบริหารทั่วไป  ให้สัดส่วนไม่เกินร้อยละ  20  นำไปใช้ในเรื่องงานตามนโยบาย
เงินอุดหนุนปัจจัยพื้นฐานสำหรับนักเรียนยากจน
  1. เป็นเงินที่จัดสรรให้แก่สถานศึกษาที่มีนักเรียนยากจน  เพื่อจัดหาปัจจัยพื้นฐานที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตและเพิ่มโอกาศทางการศึกษา  เป็นการช่วยเหลือนักเรียนนที่ยากจน  ชั้นป.1  ถึง ม.3  ให้มีโอกาสได้รับการศึกาในระดับที่สูงขึ้น (ยกเว้นสถานศึกษาสังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ)
  2. นักเรียนยากจน  หมายถึง  นักเรียนที่ผู้ปกครองมีรายได้ต่อครัวเรือน  ไม่เกิน  40,000  บาท
  3. แนวการใช้
ให้ใช้ในลักษณะ  ถัวจ่าย  ในรายการต่อไปนี้
  1.  
    1. ค่าหนังสือและอุปกรณ์การเรียน(ยืมใช้)
    2. ค่าเสื้อผ้าและวัสดุเครื่องแต่งกายนักเรียน(แจกจ่าย)
    3. ค่าอาหารกลางวัน  (วัตถุดิบ  จ้างเหมา  เงินสด)
    4. ค่าพาหนะในการเดินทาง  (เงินสด  จ้างเหมา)
    5. กรณีจ่ายเป็นเงินสด  โรงเรียนแต่งตั้งกรรมการ  3  คน  ร่วมกันจ่ายเงินโดยใช้ใบสำคัญรับเงินเป็นหลักฐาน
    6. ระดับประถมศึกษา  คนละ 1,000  บาท/ปี
    7. ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น  คนละ  3,000  บาท/ปี
    8. รายจ่ายงบกลาง
  1. เงินสวัสดิการค่ารักษาพยาบาล/การศึกษาบุตร/เงินช่วยเหลือบุตร
  2. เงินเบี้ยหวัดบำเหน็จบำนาญ
  3. เงินสำรอง  เงินสมทบ  และเงินชดเชยข้าราชการ
  4. เงินสมทบของลูกจ้างประจำ
  1. รายจ่ายงบกลาง  หมายถึง  รายจ่ายที่ตั้งไว้เพื่อจัดสรรให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจโดยทั่วไปใช้จ่ายตามรายการดังต่อไปนี้
  1. “เงินเบี้ยหวัดบำเหน็จบำนาญ”  หมายความว่า  รายจ่ายที่ตั้งไว้เพื่อจ่ายเป็นเงินบำนาญ
ข้าราชการ  เงินบำเหน็จลูกจ้างประจำ  เงินทำขวัญข้าราชการและลูกจ้าง  เงินทดแทนข้าราชการวิสามัญ  เงินค่าทดแทนสำหรับผู้ได้รับอันตรายในการรักษาความมั่นคงของประเทศ
เงินช่วยพิเศษข้าราชการบำนาญเสียชีวิต  เงินสงเคราะห์ผู้ประสบภัยเนื่องจากการช่วยเหลือ 
ข้าราชการ  การปฏิบัติงานของชาติหรือการปฏิบัติตามหน้าที่มนุษยธรรม  และเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ
  1. “เงินช่วยเหลือข้าราชการ  ลูกจ้าง  และพนักงานของรัฐ”  หมายความว่า  รายจ่ายที่ตั้งไว้เพื่อ
จ่ายเป็นเงินสวัสดิการช่วยเหลือในด้านต่างๆ  ให้แก่ข้าราชการ  ลูกจ้าง  และพนักงานของรัฐ  ได้แก่  เงินช่วยเหลือการศึกษาของบุตร  เงินช่วยเหลือบุตร  และเงินพิเศษในกรณีตายในระหว่างรับราชการ
  1. “เงินเลื่อนขั้นเลื่อนอันดับเงินเดือนและเงินปรับวุฒิข้าราชการ  หมายความว่ารายจ่ายที่ตั้งไว้
เพื่อจ่ายเป็นเงินเลื่อนขั้นเลื่อนอันดับเงินเดือนข้าราชการประจำปี  เงินเลื่อนขั้นเลื่อนอันดับเงินเดือนข้าราชการที่ได้รับเลื่อนระดับ  และหรือแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งระหว่างปีและเงินปรับวุฒิข้าราชการ
  1. “เงินสำรอง  เงินสมทบ  และเงินชดเชยของข้าราชการ”  หมายความว่า  รายจ่ายที่ตั้งไว้เพื่อ
จ่ายเป็นเงินสำรอง  เงินสมทบ  และเงินชดเชยที่รัฐบาลนำส่งเข้ากองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ
  1. “เงินสมทบของลูกจ้างประจำ”  หมายความว่า  รายจ่ายที่ตั้งไว้เพื่อจ่ายเป็นเงินสมทบที่
รัฐบาลนำส่งเข้ากองทุนสำรอง  เลี้ยงชีพลูกจ้างประจำ
  1. “ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเสด็จพระราชดำเนินและต้อนรับประมุขต่างประเทศ  หมายความว่า 
รายจ่ายที่ตั้งไว้เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสนับสนุนพระราชภารกิจในการเสด็จพระราชดำเนินภายในประเทศ  และหรือต่างประเทศ  และค่าใช้จ่ายในการต้อนรับประมุขต่างประเทศที่มายาเยือนประเทศไทย
  1. “เงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น”  หมายความว่า  รายจ่ายที่ตั้งสำรองไว้เพื่อ
จัดสรรเป็นค่าใช้จ่ายในกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
  1. “ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการรักษาความมั่นคงของประเทศ”  หมายความว่า  รายจ่ายที่ตั้งไว้
เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานรักษาความมั่นคงของประเทศ
  1. “เงินราชการลับในการรักษาความมั่นคงของประเทศ”  หมายความว่า  รายจ่ายที่ตั้งไว้เพื่อ
เบิกจ่ายเป็นเงินราชการลับในการดำเนินงานเพื่อรักษาความมั่นคงของประเทศ
  1. “ค่าใช้จ่ายตามโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ”  หมายความว่า  รายจ่ายที่ตั้งไว้เพื่อ
เป็นค่าใช้จ่าในการดำเนินงานตามโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
  1. “ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลข้าราชการ  ลูกจ้าง  และพนักงานของรัฐ”  หมายความว่า 
รายจ่ายที่ตั้งไว้เป็นค่าใช้จ่ายในการช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาลข้าราชการ  ลูกจ้างประจำ  และพนักงานของรัฐ
 
เงินนอกงบประมาณ
  1. เงินรายได้สถานศึกษา
  2. เงินภาษีหัก  ณ  ที่จ่าย
  3. เงินลูกเสือ  เนตรนารี
  4. เงินยุวกาชาด
  5. เงินประกันสัญญา
  6. เงินบริจาคที่มีวัตถุประสงค์
เงินรายได้สถานศึกษา  หมายถึง  เงินรายได้ตามมาตรา  59  แห่ง  พ.ร.บ.  การศึกษาแห่งชาติ  พ.ศ.  2542  ซึ่งเกิดจาก 
  1. ผลประโยชน์จากทรัพย์สินที่เป็นราชพัสดุ
  2. ค่าบริการและค่าธรรมเนียม  ที่ไม่ขัดหรือแย้งนโยบาย  วัตถุประสงค์และภารกิจหลักของสถานศึกษา
  3. เบี้ยปรับจากการผิดสัญญาลาศึกษาต่อและเบี้ยปรับการผิดสัญญาซื้อทรัพย์สินหรือจ้างทำของจากเงินงบประมาณ
  4. ค่าขายแบบรูปรายการ  เงินอุดหนุน  อปท.  รวมเงินอาหารกลางวัน
  5. ค่าขายทรัพย์สินที่ได้มาจากเงินงบประมาณ
 
งานพัสดุ
          “การพัสดุ”  หมายความว่า  การจัดทำเอง  การซื้อ  การจ้าง  การจ้างที่ปรึกษา  การจ้างออกแบบและควบคุมงาน  การแลกเปลี่ยน  การเช่า  การควบคุม  การจำหน่าย  และการดำเนินการอื่นๆ  ที่กำหนดไว้ในระเบียบนี้
          “พัสดุ”  หมายความว่า  วัสดุ  ครุภัณฑ์  ที่ดินและสิ่งก่อสร้าง  ที่กำหนดไว้ในหนังสือ  การจำแนกประเภทรายจ่ายตามงบประมาณของสำนักงบประมาณ  หรือการจำแนกประเภทรายจ่าย  ตามสัญญาเงินกู้จากต่างประเทศ
          “การซื้อ”  หมายความว่า  การซื้อพัสดุทุกชนิดทั้งที่มีการติดตั้ง  ทดลอง  และบริการที่เกี่ยวเนื่องอื่นๆ  แต่ไม่รวมถึงการจัดหาพัสดุในลักษณะการจ้าง
          “การจ้าง”  ให้หมายความรวมถึง  การจ้างทำของและการับขนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และการจ้างเหมาบริการ  แต่ไม่รวมถึงการจ้างลูกจ้างของส่วนราชการตามระเบียบของกระทรวงการคลัง  การับขนในการเดินทางไปราชการตามกฎหมายว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ  การจ้างที่ปรึกษา  การจ้างออกแบบและควบคุมงาน  และการจ้างแรงงานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
          ขอบข่ายภารกิจ
  1. กฎหมาย  ระเบียบ  และเอกสารที่เกี่ยวข้อง
  2. ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ  พ.ศ.  2535  และแก้ไขเพิ่มเติม
  3. ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์  พ.ศ.  2549
  4. แนวทางการปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี  ว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์  พ.ศ.  2549
หน้าที่และความรับผิดชอบ
  1. จัดวางระบบและปฏิบัติงานเกี่ยวกับจัดหา  การซื้อ  การจ้าง  การเก็บรักษา  และการเบิกพัสดุ  การควบคุม  และการจำหน่ายพัสดุให้เป็นไปตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง
  2. ควบคุมการเบิกจ่ายเงินตามประเภทเงิน  ให้เป็นไปตามแผนปฏิบัติราชการรายปี
  3. จัดทำทะเบียนที่ดินและสิ่งก่อสร้างทุกประเภทของสถานศึกษา
  4. ประสานงานและวางแผนในการใช้พื้นที่ของสถานศึกษา  ให้เป็นไปตามแผนพัฒนาการศึกษา
  5. กำหนดหลักเกณฑ์วิธีการและดำเนินการเกี่ยวกับการจัดหาประโยชน์ที่ราชพัสดุการใช้และการขอใช้อาคารสถานที่ของสถานศึกษาให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องควบคุมดู  ปรับปรุง  ซ่อมแซม  บำรุงรักษาครุภัณฑ์  ให้อยู่ในสภาพเรียบร้อยต่อการใช้งานและพัฒนาอาคารสถานที่  การอนุรักษ์พลังงาน  การรักษาสภาพแวดล้อม  และระบบสาธารณูปโภคของสถานศึกษาให้เป็นระเบียบและสวยงาม
  6. จัดเวรยามดูแลอาคารสถานที่ของสถานศึกษาให้ปลอดภัยจากโจรภัย  อัคคีภัยและภัยอื่นๆ
  7. จัดวางระบบและควบคุมการใช้ยานพาหนะ  การเบิกจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงการบำรุงรักษาและการพัสดุต่างๆ  ที่เกี่ยวกับยานพาหนะของสถานศึกษาให้เป็นไปตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง
  8. ให้คำแนะนำ  ชี้แจง  และอำนวยความสะดวกแก่บุคลากรในสถานศึกษาเกี่ยวกับงานในหน้าที่
  9. เก็บรักษาเอกสารและหลักฐานต่างๆ  ไว้เพื่อการตรวจสอบและดำเนินการทำลายเอกสารตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง
  10. ประสานงานและให้ความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ  ทั้งภายในและภายนอกสถานศึกษา
  11. เสนอโครงการและรายงานการปฏิบัติงานในหน้าที่ตามลำดับขั้น
  12. ปฏิบัติอื่นตามที่ได้รับมอบหมาย
 
สวัสดิการและสิทธิประโยชน์
  1. ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ
    1. กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง
    2. พระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ  พ.ศ.  2526  และที่แก้ไขเพิ่มเติม
    3. ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ  พ.ศ.  2550
  2. ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ
การอนุมัติเดินทางไปราชการ  ผู้มีอำนาจอนุมัติให้เดินทางไปราชการ  อนุมัติระยะเวลาในการเดินทางล่วงหน้า  หรือระยะเวลาหลังเสร็จสิ้นการปฏิบัติราชการได้ตามความจำเป็น
  1. การนับเวลาเดินทางไปราชการเพื่อคำนวณเบี้ยเลี้ยง  กรณีพักค้าง
    1. ให้นับ  24  ชั่วโมงเป็น  1  วัน
    2. ถ้าไม่ถึง  24  ชั่วโมงหรือเกิน  24  ชั่วโมง  และส่วนที่ไม่ถึงหรือเกิน  24  ชั่วโมง  นับได้เกิน  12  ชั่วโง  ให้ถือเป็น  1 วัน
  2. การนับเวลาเดินทางไปราชการเพื่อคำนวณเบี้ยเลี้ยงเดินทาง  กรณีไม่พักค้าง
    1. หากนับได้ไม่ถึง  24  ชั่วโมงและส่วนที่ไม่ถึงนับได้เกิน  12  ชั่วโมง  ให้ถือเป็น  1วัน
    2. หากนับได้ไม่เกิน  12  ชั่วโมง  แต่เกิน  6  ชั่วโมงขึ้นไป  ให้ถือเป็นครึ่งวัน
  3. การนับเวลาเดินทางไปราชการเพื่อคำนวณเบี้ยเลี้ยงเดินทาง
  4. กรณีลากิจหรือลาพักผ่อนก่อนปฏิบัติราชการ  ให้นับเวลาตั้งแต่เริ่มปฏิบัติราชการเป็นต้นไป
  5. กรณีลากิจหรือลาพักผ่อนหลังเสร็จสิ้นการปฏิบัติราชการ  ให้ถือว่าสิทธิในการเบิกจ่ายเบี้ยเลี้ยงเดินทางสิ้นสุดลงเมื่อสิ้นสุดเวลาการปฏิบัติราชการ
  6. หลักเกณฑ์การเบิกค่าเช่าที่พักในประเทศ
 
 
การเบิกค่าพาหนะ
  1. โดยปกติให้ใช้ยานพาหนะประจำทางและให้เบิกค่าพาหนะโดยประหยัด
  2. กรณีไม่มียานพาหนะประจำทาง  หรือมีแต่ต้องการความรวดเร็ว  เพื่อประโยชน์แก่ทางราชการ  ให้
ใช้ยานพาหนะอื่นได้  แต่ต้องชี้แจงเหตุผลและความจำเป็นไว้ในหลักฐานขอเบิกค่าพาหนะนั้น
  1. ข้าราชการระดับ  6  ขึ้นไป  เบิกค่าพาหนะรับจ้างได้  ในกรณีต่อไปนี้
    1. การเดินทางไป-กลับ  ระหว่างสถานที่อยู่  ที่พัก  หรือสถานที่ปฏิบัติราชการกับสถานี
ยานพาหนะประจำทาง  หรือสถานที่จัดพาหนะที่ใช้เดินทางภายในเขตจังหวัดเดียวกัน
  1. การเดินทางไป-กลับ  ระหว่างสถานที่อยู่  ที่พัก  กับสถานที่ปฏิบัติราชการภายในเขตจังหวัด
เดียวกัน  วันละไม่เกิน  2  เที่ยว
  1. การเดินทางไปราชการในเขตกรุงเทพมหานคร  กรณีเป็นการเดินทางข้ามเขตจังหวัด  ให้เบิก
ตามอัตราที่กระทรวงการคลังกำหนด  คือ  ให้เบิกตามที่จ่ายจริง  ดังนี้  ระหว่างกรุงเทพมหานครกับเขตจังหวัดติดต่อกรุงเทพมหานคร  ไม่เกินเที่ยวล่ะ  400  บาท  เดินทางข้ามเขตจังหวัดอื่นนอกเหนือกรณีดังกล่าวข้างต้นไม่เกินเที่ยวละ  300  บาท
  1. ผู้ไม่มีสิทธิเบิก  ถ้าต้องนำสัมภาระในการเดินทาง  หรือสิ่งของเครื่องใช้ของทางราชการไปด้วย 
และเป็นเหตุให้ไม่สะดวกที่จะเดินทางโดยยานพาหนะประจำทาง  ให้เบิกค่าพาหนะรับจ้างได้(โดยแสดงเหตุผลและความจำเป็นไว้ในรายงานเดินทาง)
  1. การเดินทางล่วงหน้า  หรือไม่สามารถกลับเมื่อเสร็จสิ้นการปฏิบัติราชการเพราะมีเหตุส่วนตัว 
(ลากิจ  -  ลาพักผ่อนไว้)  ให้เบิกค่าพาหนะเท่าที่จ่ายจริงตามเส้นทางที่ได้รับคำสั่งให้เดินทางไปราชการ  กรณีมีการเดินทางนอกเส้นทางในระหว่างการลานั้น  ให้เบิกค่าพาหนะได้เท่าที่จ่ายจริงโดยไม่เกินอัตราตามเส้นทางที่ได้รับคำสั่งให้เดินทางไปราชการ
  1. การใช้ยานพาหนะส่วนตัว  (ให้ขออนุญาตและได้รับอนุญาตแล้ว)  ให้ได้รับเงินชดเชย  คือ
รถยนต์กิโลเมตรละ  4  บาท
 
ค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม
          การฝึกอบรม  หมายถึง  การอบรม  ประชุม/สัมมนา  (วิชาการเชิงปฏิบัติการ)  บรรยายพิเศษ  ฝึกงาน  ดูงาน  การฝึกอบรม  ประกอบด้วย
  1. หลักการและเหตุผล
  2. โครงการ/หลักสูตร
  3. ระยะเวลาจัดที่แน่นอน
  4. เพื่อพัฒนาหรือเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน
 
ค่ารักษาพยาบาล
          ค่ารักษาพยาบาล  หมายถึง  เงินที่สถานพยาบาลเรียกเก็บในการรักษาพยาบาลเพื่อให้ร่างกายกลับสู่สภาวะปกติ  (ไม่ใช่เป็นการป้องกันหรือเพื่อความสวยงาม)
  1. ระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
    1. พระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล  พ.ศ.  2523  และแก้ไขเพิ่มเติม( 8  ฉบับ)
    2. ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล  พ.ศ.  2545
  2. ผู้ที่มีสิทธิรับเงินค่ารักษาพยาบาล  คือ  ผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัว
    1. บิดา
    2. มารดา
    3. คู่สมรสที่ชอบด้วยกฎหมาย
    4. บุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย  ซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะ  หรือบรรลุนิติภาวะแล้ว  แต่เป็นคนไร้ความสามารถ  หรือเสมือนคนไร้ความสามารถ(ศาลสั่ง)  ไม่รวมบุตรบุญธรรมหรือบุตรซึ่งได้ยกเป็นบุตรบุญธรรมบุคคลอื่นแล้ว
  3. ผู้มีสิทธิ  หมายถึง  ข้าราชการ  ลูกจ้างประจำ  ผุ้รับเบี้ยหวัดบำนาญ  และลูกจ้างชาวต่างประเทศซึ่งได้รับค่าจ้างจากเงินงบประมาณ
ค่ารักษาพยาบาล  แบ่งเป็น  2  ประเภท
ประเภทไข้นอก  หมายถึง  เข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลของทางราชการโดยไม่ได้นอนพัก
รักษาตัว  นำใบเสร็จรับเงินมาเบิกจ่าย  ไม่เกิน  1  ปี  นับจากวันที่จ่ายเงิน
ประเภทไข้ใน  หมายถึง  เข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลของเอกชน หรือสถานพยาบาลของทาง
ราชการ  สถานพยาบาลเอกชน  ใช้ใบเสร็จรับเงินนำมาเบิกจ่ายเงิน  พร้อมให้แพทย์รับรอง  “หากผู้ป่วยมิได้เจ้ารับการรักษาพยาบาลในทันทีทันใด  อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต”  และสถานพยาบาลทางราชการ  ใช้หนังสือรับรองสิทธิ  กรณียังไม่ได้เบิกจ่ายตรง
 
การศึกษาบุตร
          ค่าการศึกษาของบุตร  หมายความว่า  เงินบำรุงการศึกษา  หรือเงินค่าเล่าเรียน  หรือเงินอื่นใดที่สถานศึกษาเรียกเก็บและรัฐออกให้เป็นสวัสดิการกับข้าราชการผู้มีสิทธิ
  1. ระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
    1. พระราชราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาของบุตร  พ.ศ.  2523
    2. ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาของบุตร  พ.ศ.  2547
    3. หนังสือเวียนกรมบัญชีกลาง    กค.  0422.3/ว  161  ลงวันที่  13  พฤษภาคม  2552  เรื่อง  ประเภทและอัตราเงินบำรุงการศึกษาในสถานศึกษาของทางราชการ  และค่าเล่าเรียนในสถานศึกษาของเอกชน  และกรมบัญชีกลาง  ที่  กค.  0422.3/ว  226  ลงวันที่  30  มิถุนายน  2552  เรื่องการเบิกเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาของบุตร
  2. ผู้ที่มีสิทธิรับเงินค่าการศึกษาของบุตร
    1. บุตรชอบโดยกฎหมายอายุไม่เกิน  25  ปีบริบูรณ์  ในวันที่  1  พฤษภาคมของทุกปี  ไม่รวมบุตรบุญธรรม  หรือบุตรซึ่งได้ยกให้เป็นบุตรบุญธรรมคนอื่นแล้ว
    2. ใช้สิทธิเบิกได้  3  คน  เว้นแต่บุตรคนที่  3  เป็นฝาแฝดสามารถนำมาเบิกได้  4  คน
    3. เบิกเงินสวัสดิการเกี่ยวกับศึกษาบุตรภายใน  1  ปี  นับตั้งแต่วันเปิดภาคเรียนของแต่ละภาค
จำนวนเงินที่เบิกได้
  1. ระดับอนุบาลหรือเทียบเท่า  เบิกได้ปีละไม่เกิน  4,650  บาท
  2. ระดับประถมศึกษาหรือเทียบเท่า  เบิกได้ปีละไม่เกิน  3,200  บาท
  3. ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น/มัธยมศึกษาตอนปลาย/หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ(ปวช.)  หรือเทียบเท่า  เบิกได้ปีละไม่เกิน  3,900  บาท
  4. ระดับอนุปริญญาหรือเทียบเท่า  เบิกได้ปีละไม่เกิน  11,000  บาท

 
ค่าเช่าบ้าน
  1. ระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
    1. พระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ  พ.ศ.  2550 
    2. ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินค่าเช่าบ้าน  พ.ศ.  2549
  2. สิทธิการเบิกเงินค่าเช่าบ้าน
    1. ได้รับคำสั่งให้เดินทางไปประจำสำนักงานใหม่ในต่างท้องที่  เว้นแต่
      1. ทางราชการได้จัดที่พักอาศัยให้อยู่แล้ว
      2. มีเคหสถานเป็นของตนเองหรือคู่สมรส
      3. ได้รับคำสั่งให้เดินทางไปประจำสำนักงานใหม่ในต่างท้องที่ตามคำร้องขอของตนเอง
    2. ข้าราชการผู้ได้รับคำสั่งให้เดินทางไปประจำสำนักงานในท้องที่ที่รับราชการครั้งแรกหรือท้องที่ที่กลับเข้ารับราชการใหม่  ให้มีสิทธิได้รับเงินค่าเช้าบ้าน  (พระราชกฤษฎีกาเช่าบ้าน 2550  ฉบับที่  2มาตรา  7)
    3. ข้าราชการมีสิทธิได้รับเงินค่าเช่าบ้านตั้งแต่วันที่เช่าอยู่จริง  แต่ไม่ก่อนวันที่รายงานตัวเพื่อเข้ารับหน้าที่(พระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้าน  2547  มาตรา  14)
    4. ข้าราชการซึ่งมีสิทธิได้รับเงินค่าเช่าบ้านได้เช่าซื้อหรือผ่อนชำระเงินกู้เพื่อชำระราคาบ้านที่ค้างชำระอยู่  ในท้องที่ที่ไปประจำสำนักงานใหม่  มีสิทธินำหลักฐานการชำระค่าเช่าซื้อหรือค่าผ่อนชำระเงินกู้ฯ  มาเบิกได้  (พระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้าน  2547  มาตรา  17)
 
กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.)
  1. กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
    1. พ.ร.บ.กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ  พ.ศ.  2539 
มาตรา  3  ในพระราชบัญญัตินี้  (ส่วนที่เกี่ยวข้อง) 
บำนาญ  หมายความว่า  เงินที่จ่ายให้แก่สมาชิกเป็นรายเดือนเมื่อสมาชิกภาพของสมาชิกสิ้นสุดลง
บำเหน็จตกทอด  หมายความว่า  เงินที่จ่ายให้แก่สมาชิก  โดยจ่ายให้ครั้งเดียวเมื่อสมาชิกภาพ
ของสมาชิกสิ้นสุดลง
บำเหน็จตกทอด  หมายความว่า  เงินที่จ่ายให้แก่ทายาทโดยจ่ายให้ครั้งเดียวในกรณีที่สมาชิก
หรือผู้รับบำนาญถึงแก่ความตาย
  1. พ.ร.บ.กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ  (ฉบับที่  2 )  พ.ศ.  2542
  1. ข้าราชการทุกประเภท  (ยกเว้นราชการทางการเมือง)  มีสิทธิสมัครเป็นสมาชิก  กบข.  ได้แก่  ข้าราชการครู 
ข้าราชการใหม่  ได้แก่  ผู้ซึ่งเข้ารับราชการหรือโอนมาเป็นราชการตั้งแต่วันที่  27  มีนาคม  2540  เป็นต้น  จะต้องเป็นสมาชิก  กบข.  และสะสมเงินเข้ากองทุน  สมาชิกที่จ่ายสะสมเข้ากองทุนในอัตราร้อยละ  3  ของเงินเดือนเป็นประจำทุกเดือน  รัฐบาลจะจ่ายเงินสมทบให้กับสมาชิกในอัตราร้อยละ  3  ของเงินเดือนเป็นประจำทุกเดือนเช่นเดียวกัน  และจะนำเงินดังกล่าวไปลงทุนหาผลประโยชน์เพื่อจ่ายให้กับสมาชิกเมื่อกอกจากราชการ
ระเบียบสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษาว่าด้วยการฌาปนกิจสงเคราะห์เพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา(ช.พ.ค.)
          ในระเบียบนี้  ช.พ.ค.  หมายความว่า  การฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษาการจัดตั้ง  ช.พ.ค.  มีความมุ่งหมายเพื่อเป็นการกุศลและมีวัตถุประสงค์ให้สมาชิกได้ทำการสงเคราะห์ซึ่งกันและกันในการจัดการศพและสงเคราะห์ครอบครัวของสมาชิก  ช.พ.ค.  ที่ถึงแก่กรรมหลักเกณฑ์และวิธีการจ่ายเงินค่าจัดการศพและเงินสงเคราะห์ครอบครัวให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการ  ช.พ.ค.  กำหนด
          ครอบครัวของสมาชิก  ช.พ.ค  หมายถึง  บุคคลตามลำดับ 
Adobe Acrobat Document คู่มือการปฏิบัติงาน กลุ่มบริหารงบประมาณ  |  ดาวน์โหลดไฟล์
คู่มือการปฏิบัติงาน กลุ่มบริหารงานทั่ว ไปโรงเรียนบ้านน้ำพุ
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 1
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน  กระทรวงศึกษาธิการ


หัวหน้ากลุ่มบริหารทั่วไป
          มีหน้าที่รับผิดชอบในขอบข่ายต่อไปนี้
          1. ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะรองผู้อำนวยการกลุ่มบริหารทั่วไปของโรงเรียน
          2. เป็นที่ปรึกษาของผู้อำนวยการโรงเรียนเกี่ยวกับงานบริหารทั่วโรงเรียน
          3. กำกับ ติดตาม การดำเนินงานของกลุ่มบริหารทั่วไปให้ดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย และมีประสิทธิภาพ
          4. กำหนดหน้าที่ของบุคลากรในกลุ่มบริหารทั่วไป และควบคุมการปฏิบัติงานของสำนักงานบริหารทั่วไป  
          5. บริหารจัดการในสายงานตามบทบาทและหน้าที่ความรับผิดชอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ
          6. กำกับ ติดตาม ให้งานแผนงานและบริหารทั่วไป ประสานฝ่ายต่างๆ  เพื่อดำเนินกิจกรรม งาน โครงการ ให้เป็นไปตามแผนปฏิบัติการ และปฏิบัติการของโรงเรียน
          7. กำกับ ติดตาม ประสานงานให้มีการรวบรวมข้อมูล สถิติเกี่ยวกับงานบริหารทั่วไปให้เป็นปัจจุบัน เพื่อนำไปใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา และแก้ไขปัญหา
          8. ควบคุม กำกับ ติดตาม การดำเนินงานและประเมินผลการปฏิบัติงานของบุคลากรในกลุ่มบริหารทั่วไป อย่างต่อเนื่อง
          9. ติดตามประสานประโยชน์ของครู  ผู้ปฏิบัติหน้าที่และปฏิบัติหน้าที่พิเศษ  เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจ
          10.  วินิจฉัยสั่งการงานที่รับมอบหมายไปยังงานที่เกี่ยวข้อง
          11. ติดตามผลสัมฤทธิ์และประเมินผลการปฏิบัติงานเพื่อสรุปปัญหา และอุปสรรคในการดำเนินงาน เพื่อหาแนวทางในการพัฒนางานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
          12.  กำกับ ติดตาม ให้งานติดตามประเมินผล และประสานงาน ดำเนินการติดตามการปฏิบัติงานของทุกงานพร้อมรายงานผลการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง
          13.  ประสานงานคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานโรงเรียนวัดนางแก้ว
          14.  ติดต่อประสานงานระหว่างโรงเรียนกับหน่วยงานภายนอกในส่วนที่เกี่ยวข้องกับงานบริหารทั่วไป
          15.  ปฏิบัติหน้าที่อื่นๆ ตามที่ได้รับมอบหมาย
 งานสำนักงานกลุ่มบริหารทั่วไป 
          1. งานสารบรรณกลุ่มบริหารบริหารทั่วไป 
          มีหน้าที่รับผิดชอบในขอบข่ายต่อไปนี้
          1.1  จัดทำแผนพัฒนางาน/โครงการ แผนปฏิบัติราชการและปฏิทินงานเสนอรองกลุ่มบริหารทั่วไปเพื่อจัดสรรงบประมาณ
          1.2  จัดหา  จัดซื้อทรัพยากรที่จำเป็นในสำนักงานกลุ่มบริหารทั่วไป
          1.3  จัดทำทะเบียนรับ – ส่ง หนังสือราชการ โดยแยกประเภทของเอกสารและหนังสือของสำนักงาน ให้เป็นหมวดหมู่มีระบบการเก็บเอกสารที่สามารถค้นหาเรื่องได้อย่างรวดเร็ว
          1.4  โต้ตอบหนังสือราชการ  ตรวจสอบความถูกต้องของเอกสาร  หลักฐานให้ถูกต้องตามระเบียบของงานสารบรรณอย่างรวดเร็วและทันเวลา
          1.5  จัดส่งหนังสือราชการ  เอกสารของกลุ่มบริหารทั่วไป ให้งานที่รับผิดชอบและติดตามเรื่องเก็บคืนจัดเข้าแฟ้มเรื่อง
          1.6  จัดพิมพ์เอกสารและจัดถ่ายเอกสารต่าง ๆ ของกลุ่มบริหารทั่วไป เช่น บันทึกข้อความ  แบบสำรวจแบบสอบถาม แบบประเมินผลงานระเบียบและคำสั่ง
          1.7  ประสานงานด้านข้อมูลและร่วมมือกับกลุ่มบริหารงานต่าง ๆ ในโรงเรียน เพื่อให้เกิดความเข้าใจและร่วมมืออันดีต่อกันในการดำเนินงานตามแผน
          1.8  ประเมินผลและสรุปรายงานผลปฏิบัติราชการประจำปี
          1.9  ปฏิบัติหน้าที่อื่น ๆ ตามที่ได้รับมอบหมาย


2. งานพัสดุกลุ่มบริหารทั่วไป
          2.1  ประสานงานในกลุ่มงานบริหารทั่วไป วางแผน จัดซื้อ จัดหาวัสดุ  ครุภัณฑ์ที่จำเป็นในการซ่อมแซมอาคารสถานที่ สาธารณูปโภคและอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ชำรุด  โดยประสานงานกับพัสดุโรงเรียน   
          2.2  จัดทำบัญชีควบคุมการเบิกจ่ายวัสดุ  ยืมวัสดุให้ถูกต้องมีระบบและเป็นปัจจุบัน
          2.3  จัดทำระเบียบ  แนวปฏิบัติ แบบรายงาน  แบบฟอร์มต่าง ๆ  ที่จำเป็นในการให้บริการปรับซ่อม
          2.4  ติดตามการปรับซ่อมและบำรุงรักษาสภาพวัสดุ  ครุภัณฑ์ให้มีอายุการใช้งานยาวนาน
          2.5  ประเมิน สรุปผลการดำเนินงานประจำปีการศึกษาและรายงานต่อผู้เกี่ยวข้อง
          2.6  ปฏิบัติหน้าที่อื่น ๆ ตามที่ได้รับมอบหมาย


3. งานสารสนเทศกลุ่มบริหารทั่วไป
          3.1  วางแผนงาน/โครงการ และจัดทรัพยากรที่ใช้ในงานสารสนเทศของกลุ่มบริหารทั่วไป
          3.2  ประสานงานด้านความร่วมมือเกี่ยวกับข้อมูลกับงานต่าง ๆ  เพื่อรวบรวมและจัดระบบข้อมูลสารสนเทศที่ถูกต้องเหมาะสมและทันสมัยที่จะบ่งบอกถึงสภาพปัญหาความต้องการ
          3.3  รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายของโรงเรียน  เกณฑ์การประเมินมาตรฐานแนวทางการปฏิรูปการศึกษา
          3.4  จัดทำเอกสารเผยแพร่ข้อมูลให้กลุ่มงาน ได้ใช้ประโยชน์ในการวางแผนแก้ปัญหาหรือพัฒนางานในกลุ่มงานต่อไป
          3.5  ร่วมมือกับสารสนเทศของโรงเรียน  เผยแพร่งานของกลุ่มบริหารทั่วไป
          3.6  ประเมิน สรุป รายงานผลการดำเนินงานประจำปีการศึกษา
          3.7  ปฏิบัติหน้าที่อื่น ๆ ตามที่ได้รับมอบหมาย


4. งานแผนงานกลุ่มบริหารทั่วไป
          4.1  ประสานงานจัดทำแผนพัฒนางาน  แผนปฏิบัติราชการ/โครงการ ปฏิทินปฏิบัติงานกลุ่มบริหารทั่วไป เสนอผู้บริหารเพื่อจัดสรรงบประมาณ
          4.2  พิจารณาจัดแผนงาน/โครงการของกลุ่มบริหารทั่วไป ให้สอดคล้องกับนโยบายของโรงเรียนและเกณฑ์ประเมินมาตรฐานและการปฏิรูปการศึกษา
          4.3  กำกับ  ตรวจสอบดูแลงาน/โครงการ  ให้เกิดการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผน
          4.4  ประสานงานกับแผนงานของโรงเรียนและกลุ่มงานต่าง ๆ เพื่อนำเอาเทคโนโลยีมาใช้ให้มีประสิทธิภาพ
          4.5  ประเมิน สรุป รายงานผลการดำเนินงานตามแผนงาน/โครงการ
          4.6  ปฏิบัติงานอื่น ๆ ที่ได้รับมอบหมาย
 
งานอาคารสถานที่และสภาพแวดล้อม  
         มีหน้าที่รับผิดชอบในขอบข่ายต่อไปนี้        
         1.  วางแผนกำหนดงาน /โครงการงบประมาณแผนปฏิบัติงานด้านอาคารสถานที่และสภาพแวดล้อมตลอดจนการติดตามการปฏิบัติงานของนักการ แม่บ้านทำความสะอาด        
         2.  วางแผนร่วมกับแผนงานโรงเรียน พัสดุโรงเรียน เพื่อเสนอของบประมาณจัดสร้างอาคารเรียน และอาคารประกอบ   เช่น  ห้องเรียน  ห้องบริการ  ห้องพิเศษให้เพียงพอ  กับการใช้บริการของโรงเรียน
         3.  จัดซื้อ  จัดหาโต๊ะ เก้าอี้  อุปกรณ์การสอน  อุปกรณ์ทำความสะอาดห้องเรียน  ห้องบริการห้องพิเศษ ให้เพียงพอและอยู่ในสภาพที่ดีอยู่ตลอดเวลา
         4.  จัดเครื่องมือรักษาความปลอดภัยในอาคาร  ติดตั้งในที่ที่ใช้งานได้สะดวกใช้งานได้ทันที
         5.  จัดบรรยากาศภายในอาคารเรียน  ตกแต่งอย่างสวยงาม  เป็นระเบียบ  ประตูหน้าต่างอยู่ในสภาพดี  ดูแลสีอาคารต่าง ๆให้เรียบร้อย  มีป้ายบอกอาคารและห้องต่าง ๆ 
         6.  ประสานงานกับพัสดุโรงเรียนในการซ่อมแซมอาคารสถานที่  ครุภัณฑ์  โต๊ะ  เก้าอี้ และอื่น ๆให้อยู่ในสภาพที่เรียบร้อย
         7.  ดูแลความสะอาดทั่วไปของอาคารเรียน  ห้องน้ำ  ห้องส้วม  ให้สะอาด  ปราศจากกลิ่นรบกวน
         8.  ติดตาม  ดูแลให้คำแนะนำในการใช้อาคารสถานที่  โดยการอบรมนักเรียนในด้านการดูแลรักษาทรัพย์สินสมบัติของโรงเรียน
         9.  ประสานงานกับพัสดุโรงเรียนในการจำหน่ายพัสดุเสื่อมสภาพออกจากบัญชีพัสดุ
         10.  ประสานงานกับหัวหน้าอาคาร โดยนำข้อเสนอแนะ  มาปรับปรุงงานให้ทันเหตุการณ์และความต้องการของบุคลากรในโรงเรียน
         11.  อำนวยความสะดวกในการใช้อาคารสถานที่แก่บุคคลภายนอก  รวมทั้งวัสดุอื่น ๆ จัดทำสถิติการให้บริการและรวบรวมข้อมูล       
         12.  ประเมิน สรุปและรายงานผลการดำเนินงานตามแผนงาน/โครงการประจำปีการศึกษา       
         13.  ปฏิบัติงานอื่น ๆ ที่ได้รับมอบหมาย
 
งานสาธารณูปโภค   
         มีหน้าที่รับผิดชอบในขอบข่ายต่อไปนี้
         1. จัดทำแผนงานพัฒนางาน/โครงการเพื่อเสนอต่อผู้บริหาร  เพื่อจัดสรรงบประมาณ        
         2.  จัดซื้อ  จัดหา สาธารณูปโภคในโรงเรียนให้เพียงพออยู่ตลอดเวลา
         3.  กำหนดข้อปฏิบัติและติดตามการใช้น้ำ  ใช้ไฟฟ้าให้เป็นไปอย่างประหยัด
         4.  จัดบริการและติดตามการใช้สาธารณูปโภคให้เป็นไปอย่างประหยัดและคุ้มค่า
         5.  มีมาตรการตรวจสอบคุณภาพของน้ำดื่ม น้ำใช้ เครื่องกรองน้ำ หม้อแปลงไฟฟ้า ตู้โทรศัพท์และสาธารณูปโภคอื่น ๆ ให้อยู่ในสภาพที่ได้มาตรฐาน
         6.  จัดทำป้ายคำขวัญ  คำเตือน  เกี่ยวกับการใช้น้ำ ใช้ไฟฟ้า และโทรศัพท์
         7.  ร่วมมือกับงานกิจกรรมนักเรียน   อบรมนักเรียนเกี่ยวกับการใช้ไฟฟ้า  ใช้โทรศัพท์
         8.  สำรวจ รวบรวม ข้อมูลเกี่ยวกับสาธารณูปโภคที่ชำรุด
         9.  ซ่อมแซมสาธารณูปโภคที่ชำรุดให้อยู่ในสภาพที่ดี  และปลอดภัยอยู่ตลอดเวลา
         10.  ประเมินผลและสรุปรายงานผลการปฏิบัติงานตามแผนงาน/โครงการ
         11.  ปฏิบัติงานอื่น ๆ ที่ได้รับมอบหมาย
 
งานธุรการ และสารบรรณ
          มีหน้าที่รับผิดชอบในขอบข่ายต่อไปนี้
          1.    รับ-ส่งเอกสาร  ลงทะเบียนหนังสือเข้า – ออก จัดส่งหนังสือ เข้าหรือเอกสารให้หน่วยงานหรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง
          2.    จัดทำคำสั่งและจดหมายเวียนเรื่องต่าง ๆ เพื่อแจ้งให้กับครูและผู้เกี่ยวข้องได้รับทราบ
          3.    เก็บ หรือทำลายหนังสือ เอกสารต่าง ๆตามระเบียบงานสารบรรณ
          4.    รวบรวมเอกสาร หลักฐาน ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ คำสั่ง และวิธีปฏิบัติที่เกี่ยวข้องให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ และเวียนให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทราบ
          5.    ร่างและพิมพ์หนังสือออก หนังสือโต้ตอบถึงส่วนราชการ และหน่วยงานอื่น 
          6.    ติดตามเอกสารของฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับทางโรงเรียนและเก็บรวบรวมเพื่อใช้เป็นข้อมูลในการอ้างอิง 
          7.    ประสานงานการจัดส่งจดหมาย ไปรษณีย์ พัสดุและเอกสารต่าง ๆ ของโรงเรียน
          8.    เป็นที่ปรึกษาของรองผู้อำนวยการฝ่ายบริหารทั่วไปในเรื่องงานสารบรรณ
          9.   ควบคุมการรับ – ส่ง หนังสือของโรงเรียน (E – Office)
          10. บริการทางจดหมายและสิ่งตีพิมพ์ที่มีมาถึงโรงเรียน
          11. จัดหนังสือเข้าแฟ้มเพื่อลงนาม
          12. ปฏิบัติหน้าที่อื่นๆ ตามที่ได้รับมอบหมาย
 งานยานพาหนะ  
          มีหน้าที่รับผิดชอบในขอบข่ายต่อไปนี้
          1. จัดทำแผนงาน / โครงการ เกี่ยวกับการจัดหา   บำรุงรักษา   การให้บริการยานพาหนะแก่คณะครูและบุคลากรของโรงเรียนตลอดจนกำหนดงบประมาณเสนอขออนุมัติ          
          2. กำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบ  ให้ความรู้ พนักงานขับรถ   ตลอดจนพิจารณา จัดและให้บริการพาหนะแก่บุคลากร
          3. กำกับ ติดตาม จัดทำข้อมูล สถิติ การใช้ และให้บริการยานพาหนะของโรงเรียน
          4. กำหนดแผนตรวจสอบ ซ่อมบำรุง เพื่อให้พาหนะใช้การได้ และปลอดภัยตลอดเวลา  ให้คำแนะนำ เสนอผู้มีอำนาจอนุมัติ
          5. ประเมินสรุปผลการดำเนินงานประจำปี
          6. ปฏิบัติหน้าที่อื่น ๆ ตามที่ผู้บังคับบัญชามอบหมาย
  งานประชาสัมพันธ์
          มีหน้าที่รับผิดชอบในขอบข่ายต่อไปนี้
          1. กำหนดนโยบาย วางแผน งานโครงการ การดำเนินการประชาสัมพันธ์ให้สอดคล้องกับนโยบายและจุดประสงค์ของโรงเรียน
          2. ประสานงาน ร่วมมือกับกลุ่มสาระฯ และงานต่าง ๆ ของโรงเรียนในการดำเนินงานด้านประชาสัมพันธ์
          3. ต้อนรับและบริการผู้มาเยี่ยมชมหรือดูงานโรงเรียน
          4. ต้อนรับและบริการผู้ปกครองหรือแขกผู้มาติดต่อกับนักเรียนและทางโรงเรียน
          5. ประกาศข่าวสารของกลุ่มสาระฯ หรือข่าวทางราชการให้บุคลากรในโรงเรียนทราบ
          6. ประสานงานด้านประชาสัมพันธ์ทั้งในและนอกโรงเรียน
          7. เป็นหน่วยงานหลักในการจัดพิธีการหรือพิธีกรในงานพิธีการต่าง ๆ ของโรงเรียน
          8. เผยแพร่กิจกรรมต่าง ๆ และชื่อเสียงของโรงเรียนทางสื่อมวลชน
          9. จัดทำเอกสาร – จุลสารประชาสัมพันธ์เพื่อเผยแพร่ข่าวสาร  รายงานผลการปฏิบัติงานและความเคลื่อนไหวของโรงเรียนให้นักเรียนและบุคลากรทั่วไปทราบ
          10. รวบรวม  สรุปผลและสถิติต่าง ๆ เกี่ยวกับงานประชาสัมพันธ์และจัดทำรายงานประจำปีของงานประชาสัมพันธ์
          11. งานเลขานุการการประชุมครูโรงเรียนบรมราชินีนาถราชวิทยาลัย
          12. ปฏิบัติหน้าที่อื่น ๆ ตามที่ได้รับมอบหมาย
 งานพยาบาลและอนามัย  
          มีหน้าที่รับผิดชอบในขอบข่ายต่อไปนี้
          1. กำหนดนโยบาย  วางแผนงานโครงการ  การดำเนินงานของงานอนามัยโรงเรียนให้สอดคล้องกับนโยบายและวัตถุประสงค์ของโรงเรียน
          2. ประสานงานกับกลุ่มสาระการเรียนรู้และงานต่าง ๆ ของโรงเรียน ในการดำเนินงานด้านอนามัยโรงเรียน
          3. ควบคุม  ดูแล ห้องพยาบาลให้สะอาด ถูกสุขลักษณะ
          4. จัดเครื่องมือ เครื่องใช้ และอุปกรณ์ในการปฐมพยาบาล รักษาพยาบาลให้พร้อมและใช้การได้ทันที
          5. จัดหายาและเวชภัณฑ์  เพื่อใช้ในการรักษาพยาบาลเบื้องต้น
          6. จัดปฐมพยาบาลนักเรียน ครู – อาจารย์ และคนงานภารโรงในกรณีเจ็บป่วย และนำส่งโรงพยาบาลตามความจำเป็น
          7. จัดบริการตรวจสุขภาพนักเรียน ครู – อาจารย์ นักการภารโรงและชุมชนใกล้เคียง
          8. จัดทำบัตรสุขภาพนักเรียน ทำสถิติ บันทึกสุขภาพ สถิติน้ำหนักและส่วนสูงนักเรียน
          9. ติดต่อแพทย์หรือเจ้าหน้าที่อนามัยให้ภูมิคุ้มกันแก่บุคลากรของโรงเรียนหรือชุมชนใกล้เคียง
          10. ติดต่อประสานงานกับผู้ปกครองนักเรียนในกรณีนักเรียนเจ็บป่วย
          11. แนะนำผู้ป่วย  ญาติ  ประชาชนถึงการปฏิบัติตนให้ปลอดภัยจากโรค ให้ภูมิคุ้มกันโรค
          12. ให้คำแนะนำปรึกษาด้านสุขภาพนักเรียน
          13. ประสานงานกับครูแนะแนว ครูที่ปรึกษาหรือครูผู้สอนเกี่ยวกับนักเรียนที่มีปัญหาด้านสุขภาพ
          14. ให้ความร่วมมือด้านการปฐมพยาบาลแก่หน่วยงานอื่นหรือกิจกรรมของโรงเรียนตามควรแก่โอกาส
          15. จัดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพอนามัย เช่น จัดนิทรรศการเกี่ยวกับสุขภาพอนามัย จัดตั้งชมรม ชุมชน  อาสาสมัครสาธารณสุข
          16. จัดทำสถิติ ข้อมูลทางด้านสุขภาพอนามัยและจัดทำรายงานประจำภาคเรียน ประจำปีของงานอนามัย
          17. ปฏิบัติหน้าที่อื่น ๆ ตามที่ได้รับมอบหมาย
 
งานคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
          มีหน้าที่รับผิดชอบในขอบข่ายต่อไปนี้
          1. รวบรวมประมวลวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลที่ใช้ในการประชุมคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
          2. สนับสนุนข้อมูล รับทราบหรือดำเนินการตามมติที่ประชุมของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
          3. ดำเนินงานด้านธุรการในการจัดประชุมคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
          4. จัดทำรายงานการประชุมและแจ้งมติที่ประชุมให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อทราบดำเนินการหรือถือปฏิบัติแล้วแต่กรณี
          5. ประสานการดำเนินงานตามมติการประชุมในเรื่องการอนุมัติ อนุญาต สั่งการ เร่งรัด การดำเนินการและรายงานผลการดำเนินการให้คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
          6. ปฏิบัติหน้าที่อื่นๆ ตามที่ได้รับมอบหมาย
 
งานชุมชนสัมพันธ์และบริการสาธารณะ  
          มีหน้าที่รับผิดชอบในขอบข่ายต่อไปนี้
          1.  วางแผนกำหนดงาน โครงการงบประมาณแผนปฏิบัติงานด้านชุมชนสัมพันธ์และบริการสาธารณะตลอดจนการติดตามการปฏิบัติงาน
          2.  รวบรวมวิเคราะห์ข้อมูลของชุมชน  เพื่อนำไปใช้ในงานสร้างความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนกับโรงเรียนและบริการสาธารณะ
          3.  ให้บริการชุมชนในด้านข่าวสาร  สุขภาพอนามัย  อาคารสถานที่  วัสดุ  ครุภัณฑ์  และวิชาการ
          4.   จัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาชุมชน  เช่น การบริจาควัสดุ สิ่งของ อุปโภคบริโภค ให้ความรู้และจัดนิทรรศการ 
          5.  การมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมไทย  ประเพณีไทย ศาสนาและงานที่เกี่ยวกับชุมชน
          6.  สนับสนุนส่งเสริมให้มีการจัดตั้งองค์กรต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือโรงเรียน เช่น สมาคมฯ มูลนิธิ           
          7.  ประสานและให้บริการแก่คณะครู ผู้ปกครอง ชุมชน  หน่วยงานต่างๆทั้งภาครัฐและเอกชนในด้าน อาคารสถานที่  วัสดุ ครุภัณฑ์  บุคลากร  งบประมาณ
          8.  รวบรวมข้อมูล จัดทำสถิติ          
          9.  ประเมินสรุป รายงาน ผลการการดำเนินงานตามแผนงาน/โครงการประจำปีการศึกษา
          10.  ปฏิบัติงานอื่น ๆ ที่ได้รับมอบหมาย
งานป้องกันอุบัติเหตุและอัคคีภัย
          มีหน้าที่รับผิดชอบในขอบข่ายต่อไปนี้
          1. จัดทำแผนงาน / โครงการ เกี่ยวกับการให้ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันอุบัติเหตุและอัคคีภัย ของโรงเรียน
          2. กำหนดแนวทางปฏิบัติในการป้องกันอุบัติเหตุและอัคคีภัย   ให้ความรู้นักเรียน ครู และบุคลากร
          3. กำกับ ติดตาม จัดทำข้อมูล สถิติ ต่างๆ เกี่ยวกับการป้องกันอุบัติเหตุและอัคคีภัย   
          4. กำหนดแผนตรวจสอบ ซ่อมบำรุง เพื่อให้อุปกรณ์ป้องกันอัคคีภัยใช้การได้ และปลอดภัยตลอดเวลา  ให้คำแนะนำ เสนอผู้มีอำนาจอนุมัติ
          5. ประเมินสรุปผลการดำเนินงานประจำปี
          6. ปฏิบัติหน้าที่อื่น ๆ ตามที่ผู้บังคับบัญชามอบหมาย
Adobe Acrobat Document คู่มือการปฏิบัติงาน กลุ่มบริหารงานทั่วไป  |  ดาวน์โหลดไฟล์
คู่มือการปฏิบัติงาน การบริหารงานบุคคล โรงเรียนบ้านน้ำพุ
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 1
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน  กระทรวงศึกษาธิการ
การหาทางใช้คนที่อยู่ร่วมกันในองค์กรนั้น ๆให้ทำงานได้ผล ดีที่สุด  สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด  ในขณะเดียวกันก็สามารถทำให้ผู้ร่วมงานมีความสุขมีความพอใจ ที่จะให้ความร่วมมือและทำงานร่วมกับผู้บริหาร เพื่อให้งานขององค์กรนั้นๆ สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี

แนวคิด
          1)  ปัจจัยทางการบริหารทั้งหลายคนถือเป็นปัจจัยทางการบริหารที่สำคัญที่สุด
          2)  การบริหารงานบุคคลจะมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลผู้บริหารจะต้องมีความรู้ ความเข้าใจและมีความสามารถสูงในการบริหารงานบุคคล
          3)  การจัดบุคลากรให้ปฏิบัติงานได้เหมาะสมกับความรู้ความสามารถจะมีส่วนทำให้บุคลากร มีขวัญกำลังใจ มีความสุขในการปฏิบัติงาน ส่งผลให้งานประสบผลสำเร็จอย่างมีประสิทธิภาพ
          4)  การพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ความสามารถอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องจะทำให้บุคลากร เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและกระตือรือร้นพัฒนางานให้ดียิ่งขึ้น
          5)  การบริหารงานบุคคลเน้นการมีส่วนร่วมของบุคลากรและผู้มีส่วนได้เสียเป็นสำคัญ
 
ขอบข่ายงานบุคลากร
1. ส่งเสริมและพัฒนาระบบการบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพ
2. ส่งเสริมให้บุคลากรในโรงเรียนปฏิบัติตามในหน้าที่ตามมาตรฐานวิชาชีพ  และจรรยาบรรณวิชาชีพครู
 3. ส่งเสริมการประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารของบุคลากรภายในโรงเรียนแก่ผู้เกี่ยวข้องอย่างทั่วถึง และมีประสิทธิภาพ
 4. ส่งเสริม  และสนับสนุนให้ครูและบุคลากรได้รับการพัฒนาตามสมรรถนะวิชาชีพครู
 5. ประสานความร่วมมือระหว่างโรงเรียน ผู้ปกครอง และชุมชน ในการพัฒนา โรงเรียน
6. ส่งเสริมให้คณะครูปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต
7. ส่งเสริมให้คณะครูปฏิบัติตนในการดำเนินชีวิตโดยยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง
 เป้าหมาย (Goals) ปีการศึกษา 2562 – 2565
          1. ส่งเสริมและพัฒนาระบบการบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพ
2. ส่งเสริมให้บุคลากรในโรงเรียนปฏิบัติตามในหน้าที่ตามมาตรฐานวิชาชีพ  และจรรยาบรรณวิชาชีพครู
 3. ส่งเสริมการประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารของบุคลากรภายในโรงเรียนแก่ผู้เกี่ยวข้องอย่างทั่วถึง และมีประสิทธิภาพ
 4. ส่งเสริม  และสนับสนุนให้ครูและบุคลากรได้รับการพัฒนาตามสมรรถนะวิชาชีพครู
 5. ประสานความร่วมมือระหว่างโรงเรียน ผู้ปกครอง และชุมชน ในการพัฒนา โรงเรียน
6. ส่งเสริมให้คณะครูปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต
7. ส่งเสริมให้คณะครูปฏิบัติตนในการดำเนินชีวิตโดยยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง
 
วางแผนอัตรากำลัง/การกำหนดตำแหน่ง
มีหน้าที่
          1. จัดทำแผนงาน/โครงการ แผนปฏิบัติงานประจำปีและปฏิทินปฏิบัติงาน
2.      จัดทำแผนงานอัตรากำลังครู  / การกำหนดตำแหน่งและความต้องการครูในสาขาที่โรงเรียนมีความต้องการ 
3.      จัดทำรายงานอัตรากำลังครูต่อหน่วยงานต้นสังกัด
 
การสรรหาและบรรจุแต่งตั้ง
มีหน้าที่
1.      วางแผนดำเนินการสรรหาและเลือกสรรและกำหนดรายละเอียดแผนปฏิบัติงาน
2.      กำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับการสรรหาการเลือกสรรคุณสมบัติของบุคคลที่รับสมัคร
3.      จัดทำประกาศรับสมัคร
4.      รับสมัคร
5.      การตรวจสอบคุณสมบัติผู้สมัคร
6.      ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิรับการประเมิน
7.      แต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินการสรรหาและเลือกสรร
8.      สอบคัดเลือก
9.      ประกาศรายชื่อผู้ผ่านการเลือกสรร
10.  การเรียกผู้ที่ผ่านการคัดเลือกมารายงานตัว
11.  จัดทำรายต่อหน่วยงานต้นสังกัด
 
การพัฒนาบุคลากร
มีหน้าที่
1.      จัดทำแผนงาน/โครงการ/แผนปฏิบัติการประจำปี
2.      สำรวจความต้องการในการพัฒนาครูและบุคลากรในโรงเรียน
3.       จัดทำแผนพัฒนาตนเองของครูและบุคลากรในโรงเรียน
4.       ส่งเสริมและสนับสนุนให้ครูและบุคลากรได้รับการพัฒนา
5.      จัดทำแฟ้มบุคลากรในโรงเรียน
6.      ติดตาม ประเมินผล สรุปรายงานผลการปฏิบัติงานเสนอผู้อำนวยการ
7.      งานอื่นๆ ที่ได้รับมอบหมาย
 
การเลื่อนขั้นเงินเดือน
มีหน้าที่
1.      จัดทำแผนงาน/โครงการ/แผนปฏิบัติการประจำปี
2.      นิเทศ  ติดตามผลการปฏิบัติงานของครูและบุคลากรในโรงเรียน
3.       ประชุมคณะกรรมการในการพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนประจำปี
4.       จัดทำบัญชีผู้ที่ได้รับการพิจารณาเลื่อนขั้นประจำปีโดยยึดหลักความโป่รงใส คุณธรรมจริยธรรมและการปฏิบัติงานที่รับผิดชอบ
5.      แต่งตั้งผู้ที่ได้รับการเลื่อนขั้นเงินเดือนรายงานต่อต้นสังกัด
 
เครื่องราชอิสริยาภรณ์
มีหน้าที่
1.      จัดรวบรวมเอกสารในการเสนอขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์
2.      สำรวจความต้องการขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ของคณะครูและบุคลากร
3.      ส่งเสริมและสนับสนุนขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ของคณะครูและบุคลากรในโรงเรียน
4.      จัดทำแฟ้มข้อมูลการได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ของคณะครูและบุคลากรในโรงเรียน
วินัยและการรักษาวินัย
มีหน้าที่
1.      จัดรวบรวมเอกสารเกี่ยววินัยและการรักษาวินัยของข้าราชการครูและบุคลากรในโรงเรียน
2.      จัดทำแฟ้มข้อมูลเกี่ยวกับการทำผิดเกี่ยวกับวินัยของข้าราชการครูและบุคลากรในโรงเรียน
 
สวัสดิการครู
มีหน้าที่
          1.วางแผนดำเนินงานเกี่ยวกับสวัสดิการของครูและบุคลากรในโรงเรียน
          2. มอบของขวัญเป็นกำลังใจในวันสำคัญต่างๆ  วันเกิด  แสดงความยินดีที่ผ่านการประเมินครูชำนาญการพิเศษ  ของครูและบุคลากรในโรงเรียน
          3. ซื้อของเยี่ยมไข้เมื่อเจ็บป่วยหรือนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล
 
สำมะโนนักเรียน/รับนักเรียน
มีหน้าที่
1.      วางแผนในการจัดทำสำมะโนนักเรียน
2.      สำมะโนนักเรียนในเขตหมู่  3  , 4 และหมู่  5  ซึ่งเป็นเขตบริการของโรงเรียน
3.      จัดทำเอกสารการรับสมัครนักเรียน  เด็กเล็ก  ชั้นอนุบาล 1  ประถมศึกษาปีที่  1 
4.      เปิดรับสมัครนักเรียน  เด็กเล็ก  ชั้นอนุบาล 1  ประถมศึกษาปีที่  1 
5.      จัดทำแฟ้มนักเรียน  เด็กเล็ก  ชั้นอนุบาล 1  ประถมศึกษาปีที่  1 
6.      สรุปการจัดทำสำมะโนนักเรียนรายงานหน่วยงานต้นสังกัด
 
                                        การปฏิบัติราชการของข้าราชการครู

1. การลา  การลาแบ่งออกเป็น  9  ประเภท  คือ
          1. การลาป่วย
          2. การลาคลอดบุตร
          3. การลากิจส่วนตัว
          4. การลาพักผ่อน
          5. การลาอุปสมบทหรือการลาไปประกอบพิธีฮัจย์
          6. การลาเข้ารับการตรวจเลือกหรือเข้ารับการเตรียมพล
          7. การลาไปศึกษา  ฝึกอบรม  ดูงาน  หรือปฏิบัติการวิจัย
          8. การลาไปปฏิบัติงานในองค์การระหว่างประเทศ
          9.  การลาติดตามคู่สมรส
         
การลาป่วย  ข้าราชการซึ่งประสงค์จะลาป่วยเพื่อรักษาตัวให้เสนอหรือจัดส่งใบลาต่อผู้บังคับบัญชาตามลำดับจนถึงผู้มีอำนาจอนุญาตก่อนหรือในวันที่ลาเว้นแต่ในกรณีจำเป็นจะเสนอหรือจัดส่งใบลา ในวันแรกที่มาปฏิบัติราชการก็ได้  ในกรณีที่ข้าราชการผู้ขอลามีอาการป่วยจนไม่สามารถจะลงชื่อในใบลาได้จะให้ผู้อื่นลาแทนก็ได้  แต่เมื่อสามารถลงชื่อได้แล้วให้เสนอหรือจัดส่งใบลาโดยเร็ว  การลาป่วยตั้งแต่ 30 วันขึ้นไป ต้องมีใบรับรองของแพทย์ซึ่งเป็นผู้ที่ได้ขึ้นทะเบียนและ รับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมแนบไปกับใบลาด้วย  ในกรณีจำเป็นหรือเห็นสมควรผู้มีอำนาจอนุญาตจะสั่งให้ใช้ใบรับรองของแพทย์ซึ่งผู้มีอำนาจอนุญาตเห็นชอบแทนก็ได้  การลาป่วยไม่ถึง 30 วัน  ไม่ว่าจะเป็นการลาครั้งเดียวหรือหลายครั้งติดต่อกัน  ถ้าผู้มีอำนาจ อนุญาตเห็นสมควร  จะสั่งให้มีใบรับรองแพทย์ตามวรรคสามประกอบใบลา  หรือสั่งให้ผู้ลาไปรับการ ตรวจจากแพทย์ของทางราชการเพื่อประกอบการพิจารณาอนุญาตก็ได้

การลาคลอดบุตร  ข้าราชการซึ่งประสงค์จะลาคลอดบุตร  ให้เสนอหรือจัดส่งใบลาต่อผู้บังคับบัญชาตามลำดับ จนถึงผู้มีอำนาจอนุญาตก่อนหรือในวันที่ลา เว้นแต่ไม่สามารถจะลงชื่อในใบลาได้ จะให้ผู้อื่นลาแทน ก็ได้ แต่เมื่อสามารถลงชื่อได้แล้วให้เสนอหรือจัดส่งใบลาโดยเร็ว และมีสิทธิลาคลอดบุตรโดยได้รับ เงินเดือนครั้งหนึ่งได้  การลาคลอดบุตรจะลาในวันที่คลอดก่อนหรือหลังวันที่คลอดบุตรก็ได้ แต่เมื่อรวมวันลาแล้ว ต้องไม่เกิน 90 วัน
          การลากิจส่วนตัว  ข้าราชการซึ่งประสงค์จะลากิจส่วนตัว ให้เสนอหรือจัดส่งใบลาต่อผู้บังคับบัญชาตามลำดับ จนถึงผู้มีอำนาจอนุญาต และเมื่อได้รับอนุญาตแล้วจึงจะหยุดราชการได้ เว้นแต่มีเหตุจำเป็น ไม่สามารถรอรับอนุญาตได้ทันจะเสนอหรือจัดส่งใบลาพร้อมด้วยระบุเหตุจำเป็นไว้แล้ว หยุดราชการ ไปก่อนก็ได้  แต่จะต้องชี้แจงเหตุผลให้ผู้มีอำนาจอนุญาตทราบโดยเร็ว ในกรณีมีเหตุพิเศษที่ไม่อาจเสนอหรือจัดส่งใบลาก่อนตามวรรคหนึ่งได้  ให้เสนอหรือจัดส่ง ใบลาพร้อมทั้งเหตุผลความจำเป็นต่อผู้บังคับบัญชาตามลำดับจนถึงผู้มีอำนาจอนุญาตทันทีในวันแรก ที่มาปฏิบัติราชการ  ข้าราชการมีสิทธิลากิจส่วนตัว  โดยได้รับเงินเดือนปีละไม่เกิน  45 วันทำการ  ข้าราชการที่ลาคลอดบุตรตามข้อ  18 แล้ว หากประสงค์จะลากิจส่วนตัวเพื่อเลี้ยงดูบุตรให้มี สิทธิลาต่อเนื่องจากการลาคลอดบุตรได้ไม่เกิน 150 วันทำการ  โดยไม่มีสิทธิได้รับเงินเดือนระหว่างลา
          การลาพักผ่อน    ข้าราชการมีสิทธิลาพักผ่อนประจำปีในปีหนึ่งได้ 10 วันทำการ
เว้นแต่ข้าราชการดังต่อไปนี้ ไม่มีสิทธิลาพักผ่อนประจำปีในปีที่ได้รับบรรจุเข้ารับราชการยังไม่ถึง 6 เดือน
          1. ผู้ซึ่งได้รับบรรจุเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครั้งแรก ผู้ซึ่งลาออกจากราชการเพราะเหตุส่วนตัว แล้วต่อมาได้รับบรรจุเข้ารับราชการอีก
          2.  ผู้ซึ่งลาออกจากราชการเพื่อดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือเพื่อสมัครรับเลือกตั้ง
แล้ว ต่อมาได้รับบรรจุเข้ารับราชการอีกหลัง 6 เดือน นับแต่วันออกจากราชการ
          3. ผู้ซึ่งถูกสั่งให้ออกจากราชการในกรณีอื่น นอกจากกรณีไปรับราชการทหารตามกฎหมาย ว่าด้วยการรับราชการทหารและกรณีไปปฏิบัติงานใด ๆ ตามความประสงค์ของทางราชการ แล้วต่อมา ได้รับบรรจุเข้ารับราชการอีกถ้าในปีใดข้าราชการผู้ใดมิได้ลาพักผ่อนประจำปีหรือลาพักผ่อนประจำปี แล้วแต่ไม่ครบ 10 วันทำการ ให้สะสมวันที่ยังมิได้ลาในปีนั้นรวมเข้ากับปีต่อ ๆไปได้ แต่วันลาพักผ่อน สะสมรวมกับวันลาพักผ่อนในปีปัจจุบันจะต้องไม่เกิน 20 วันทำการ สำหรับผู้ที่ได้รับราชการติดต่อกันมาแล้วไม่น้อยกว่า 10 ปี ให้มีสิทธินำวันลาพักผ่อนสะสม รวมกับวันลาพักผ่อนในปีปัจจุบันได้ไม่เกิน 30 วันทำการ
การลาอุปสมบทหรือการลาไปประกอบพิธีฮัจย์     ข้าราชการซึ่งประสงค์จะลาอุปสมบทในพระพุทธศาสนา หรือข้าราชการที่นับถือศาสนา อิสลามซึ่งประสงค์จะลาไปประกอบพิธีฮัจย์ ณ เมืองเมกกะประเทศซาอุดีอาระเบียให้เสนอหรือจัดส่งใบลาต่อผู้บังคับบัญชาตามลำดับจนถึงผู้มีอำนาจพิจารณาหรืออนุญาตก่อนวันอุปสมบท หรือก่อนวันเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ไม่น้อยกว่า 60 วัน ในกรณีมีเหตุพิเศษไม่อาจเสนอหรือจัดส่งใบลาก่อนตามวรรคหนึ่งให้ชี้แจงเหตุผลความ จำเป็นประกอบการลา และให้อยู่ในดุลพินิจของผู้มีอำนาจที่จะพิจารณาให้ลาหรือไม่ก็ได้  ข้าราชการที่ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ลาอุปสมบทหรือได้รับอนุญาตให้ลาไป ประกอบพิธีฮัจย์แล้วจะต้องอุปสมบทหรือออกเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ภายใน 10 วัน นับแต่ วันเริ่มลา  และจะต้องกลับมารายงานตัวเข้าปฏิบัติราชการภายใน 5 วัน นับแต่วันที่ลาสิกขา  หรือ วันที่เดินทางกลับถึงประเทศไทยหลังจากการเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์
การลาเข้ารับการตรวจเลือกหรือเข้ารับการเตรียมพล ข้าราชการที่ได้รับหมายเรียกเข้ารับการตรวจเลือก ให้รายงานลาต่อผู้บังคับบัญชาก่อนวัน เข้ารับการตรวจเลือกไม่น้อยกว่า 48 ชั่วโมง ส่วนข้าราชการที่ได้รับหมายเรียกเข้ารับการเตรียมพล ให้รายงานลาต่อผู้บังคับบัญชาภายใน 48 ชั่วโมง นับแต่เวลารับหมายเรียกเป็นต้นไป และให้ไปเข้า รับการตรวจเลือกหรือเข้ารับการเตรียมพลตามวันเวลาในหมายเรียกนั้นโดยไม่ต้องรอรับคำสั่ง อนุญาต และให้ผู้บังคับบัญชาเสนอรายงานลาไปตามลำดับจนถึงหัวหน้าส่วนราชการ  หรือหัวหน้า ส่วนราชการขึ้นตรง
          การลาไปศึกษา ฝึกอบรมดูงาน หรือปฏิบัติการวิจัย ข้าราชการซึ่งประสงค์จะลาไปศึกษาฝึกอบรม ดูงาน หรือปฏิบัติการวิจัย ณ ต่างประเทศ ให้เสนอหรือจัดส่งใบลาต่อผู้บังคับบัญชาตามลำดับจนถึงปลัดกระทรวงหรือหัวหน้าส่วนราชการขึ้นตรงเพื่อพิจารณาอนุญาตสำหรับการลาไปศึกษาฝึกอบรมดูงาน  หรือปฏิบัติการวิจัยในประเทศให้เสนอหรือจัดส่ง ใบลาตามลำดับจนถึงหัวหน้าส่วนราชการ หรือหัวหน้าส่วนราชการขึ้นตรงเพื่อพิจารณาอนุญาต  เว้นแต่ข้าราชการกรุงเทพมหานครให้เสนอหรือจัดส่งใบลาต่อปลัดกรุงเทพมหานคร  สำหรับหัวหน้า ส่วนราชการให้เสนอหรือจัดส่งใบลาต่อปลัดกระทรวง  หัวหน้าส่วนราชการขึ้นตรงและข้าราชการ  ในราชบัณฑิตยสถานให้เสนอหรือจัดส่งใบลาต่อรัฐมนตรีเจ้าสังกัด
ส่วนปลัดกรุงเทพมหานครให้เสนอ หรือจัดส่งใบลาต่อผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร  เพื่อพิจารณาอนุญาต
การลาไปปฏิบัติงานในองค์การระหว่างประเทศ  ข้าราชการซึ่งประสงค์จะลาไปปฏิบัติงานในองค์การระหว่างประเทศ ให้เสนอหรือจัดส่งใบลา ต่อผู้บังคับบัญชาตามลำดับจนถึงรัฐมนตรีเจ้าสังกัดเพื่อพิจารณา โดยถือปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ ที่กำหนด
การลาติดตามคู่สมรส  ข้าราชการซึ่งประสงค์ติดตามคู่สมรสให้เสนอหรือจัดส่งใบลาต่อผู้บังคับบัญชาตามลำดับ จนถึงปลัดกระทรวงหรือหัวหน้าส่วนราชการขึ้นตรงแล้วแต่กรณี เพื่อพิจารณาอนุญาตให้ลาได้ไม่เกิน สองปีและในกรณีจำเป็นอาจอนุญาตให้ลาได้อีกสองปี แต่เมื่อรวมแล้วต้องไม่เกินสี่ปี ถ้าเกินสี่ปี ให้ลาออกจากราชการสำหรับปลัดกระทรวง หัวหน้าส่วนราชการขึ้นตรง และข้าราชการ  ในราชบัณฑิตยสถานให้เสนอหรือจัดส่งใบลาต่อรัฐมนตรีเจ้าสังกัด  ส่วนปลัดกรุงเทพมหานครให้เสนอ หรือจัดส่งใบลาต่อผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเพื่อพิจารณาอนุญาต
 
วินัยและการดำเนินการทางวินัย           
วินัย     :  การควบคุมความประพฤติของคนในองค์กรให้เป็นไปตามแบบแผนที่พึงประสงค์
          วินัยข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา        :  ข้อบัญญัติที่กำหนดเป็นข้อห้ามและ ข้อปฏิบัติตามหมวด 6 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 2 พ.ศ. 2551
          โทษทางวินัย     มี 5  สถาน       คือ
วินัยไม่ร้ายแรง  มีดังนี้
          1. ภาคทัณฑ์
2. ตัดเงินเดือน
          3. ลดขั้นเงินเดือน
วินัยร้ายแรง     มีดังนี้
          4.  ปลดออก
5.  ไล่ออก
          การว่ากล่าวตักเตือนหรือการทำทัณฑ์บนไม่ถือว่าเป็นโทษทางวินัยใช้ในกรณีที่เป็นความผิด เล็กน้อยและมีเหตุอันควรงดโทษ  การว่ากล่าวตักเตือนไม่ต้องทำเป็นหนังสือ
แต่การทำทัณฑ์บนต้องทำเป็นหนังสือ(มาตรา 100 วรรคสอง)
โทษภาคทัณฑ์ 
ใช้ลงโทษในกรณีที่เป็นความผิดเล็กน้อยหรือมีเหตุอันควรลดหย่อน  โทษภาคทัณฑ์ไม่ต้องห้ามการเลื่อนขั้นเงินเดือน
          โทษตัดเงินเดือนและลดขั้นเงินเดือน
ใช้ลงโทษในความผิดที่ไม่ถึงกับเป็นความผิดร้ายแรง และไม่ใช่กรณีที่เป็นความผิดเล็กน้อย
          โทษปลดออกและไล่ออก
ใช้ลงโทษในกรณีที่เป็นความผิดวินัยร้ายแรงเท่านั้น
          การลดโทษความผิดวินัยร้ายแรง
ห้ามลดโทษต่ำกว่าปลดออก  ผู้ถูกลงโทษปลดออกมีสิทธิได้รับบำเหน็จบำนาญเสมือนลาออก
การสั่งให้ออกจากราชการไม่ใช่โทษทางวินัย
          วินัยไม่ร้ายแรง  ได้แก่   
          1. ไม่สนับสนุนการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยด้วยความบริสุทธิ์ใจ
          2. ไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เสมอภาค และเที่ยงธรรม ต้องมีความวิริยะ อุตสาหะขยันหมั่นเพียร ดูแลเอาใจใส่ รักษาประโยชน์ของทางราชการ และต้องปฏิบัติตน ตามมาตรฐานและจรรยาบรรณวิชาชีพ
          3. อาศัยหรือยอมให้ผู้อื่นอาศัยอำนาจและหน้าที่ราชการของตนไม่ว่าจะโดยทางตรง หรือ ทางอ้อมหาประโยชน์ให้แก่ตนเองและผู้อื่น
          4. ไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการให้เป็นไปตามกฎหมายระเบียบแบบแผนของทางราชการและ หน่วยงานการศึกษามติครม. หรือนโยบายของรัฐบาลโดยถือประโยชน์สูงสุดของผู้เรียน และไม่ให้ เกิดความเสียหายแก่ราชการ
          5.  ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาซึ่งสั่งในหน้าที่ราชการโดยชอบด้วยกฎหมายและ ระเบียบของทางราชการแต่ถ้าเห็นว่าการปฏิบัติตามคำสั่งนั้นจะทำให้เสียหายแก่ราชการ หรือจะ เป็นการไม่รักษาประโยชน์ของทางราชการจะเสนอความเห็นเป็นหนังสือภายใน 7 วัน เพื่อให้ผู้บังคับ บัญชาทบทวนคำสั่งก็ได้ และเมื่อเสนอความเห็นแล้ว ถ้าผู้บังคับบัญชายืนยันเป็นหนังสือให้ปฏิบัติ ตามคำสั่งเดิม ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาต้องปฏิบัติตาม
          6. ไม่ตรงต่อเวลา  ไม่อุทิศเวลาของตนให้แก่ทางราชการและผู้เรียน ละทิ้งหรือทอดทิ้งหน้าที่ ราชการโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร
          7. ไม่ประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ผู้เรียนชุมชน  สังคม  ไม่สุภาพเรียบร้อยและรักษา ความสามัคคี  ไม่ช่วยเหลือเกื้อกูลต่อผู้เรียนและข้าราชการด้วยกัน หรือผู้ร่วมงานไม่ต้อนรับหรือ ให้ความสะดวก ให้ความเป็นธรรมต่อผู้เรียนและประชาชนผู้มาติดต่อราชการ
          8. กลั่นแกล้ง  กล่าวหา หรือร้องเรียนผู้อื่นโดยปราศจากความเป็นจริง
          9. กระทำการหรือยอมให้ผู้อื่นกระทำการหาประโยชน์อันอาจทำให้เสื่อมเสียความเที่ยงธรรม หรือเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์ในตำแหน่งหน้าที่ราชการของตน
          10. เป็นกรรมการผู้จัดการ หรือผู้จัดการ หรือดำรงตำแหน่งอื่นใดที่มีลักษณะงานคล้ายคลึงกันนั้น ในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัท
          11. ไม่วางตนเป็นกลางทางการเมืองในการปฏิบัติหน้าที่ และในการปฏิบัติการอื่นที่เกี่ยวข้อง กับประชาชนอาศัยอำนาจและหน้าที่ราชการของตนแสดงการฝักใฝ่ส่งเสริม เกื้อกูล สนับสนุนบุคคล  กลุ่มบุคคลหรือพรรคการเมืองใด
          12.  กระทำการอันใดอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่ว
          13.  เสริมสร้างและพัฒนาให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชามีวินัย ไม่ป้องกันมิให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา กระทำผิดวินัย หรือละเลย หรือมีพฤติกรรมปกป้อง ช่วยเหลือมิให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาถูกลงโทษทางวินัย หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวโดยไม่สุจริต
          วินัยร้ายแรง     ได้แก่   
          1. ทุจริตต่อหน้าที่ราชการ
          2. จงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมายระเบียบแบบแผนของทางราชการและหน่วยงานการศึกษามติครม.หรือนโยบายของรัฐบาลประมาทเลินเล่อหรือขาดการเอาใจใส่ระมัดระวังรักษาประโยชน์ ของทางราชการอันเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง
          3. ขัดคำสั่งหรือหลีกเลี่ยงไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาซึ่งสั่งในหน้าที่ราชการ
โดยชอบด้วยกฎหมายและระเบียบของทางราชการอันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง
          4. ละทิ้งหน้าที่หรือทอดทิ้งหน้าที่ราชการ โดยไม่มีเหตุผลอันสมควรเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง
          5. ละทิ้งหน้าที่ราชการติดต่อในคราวเดียวกันเป็นเวลาเกินกว่า 15 วัน โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร
          6. กลั่นแกล้ง  ดูหมิ่น  เหยียดหยาม  กดขี่ หรือข่มเหงผู้เรียนหรือประชาชนผู้มาติดต่อราชการ อย่างร้ายแรง
          7.  กลั่นแกล้ง  กล่าวหา หรือร้องเรียนผู้อื่นโดยปราศจากความเป็นจริง เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับ ความเสียหายอย่างร้ายแรง
          8. กระทำการหรือยอมให้ผู้อื่นกระทำการหาประโยชน์อันอาจทำให้เสื่อมเสียความเที่ยงธรรม หรือเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์ในตำแหน่งหน้าที่ราชการโดยมุ่งหมายจะให้เป็นการซื้อขายหรือให้ได้รับ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งหรือวิทยฐานะใดโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือเป็นการกระทำอันมีลักษณะ เป็นการให้หรือได้มาซึ่งทรัพย์สินหรือสิทธิประโยชน์อื่นเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับการบรรจุและ แต่งตั้งโดยมิชอบ
          9. คัดลอกหรือลอกเลียนผลงานทางวิชาการของผู้อื่นโดยมิชอบหรือนำเอาผลงานทางวิชาการของผู้อื่น หรือจ้างวาน ใช้ผู้อื่นทำผลงานทางวิชาการเพื่อไปใช้ในการเสนอขอปรับปรุงการกำหนดตำแหน่ง  การเลื่อนตำแหน่ง  การเลื่อนวิทยฐานะ  หรือการให้ได้รับเงินเดือนในระดับที่สูงขึ้น
          10.  ร่วมดำเนินการคัดลอกหรือลอกเลียนผลงานของผู้อื่นโดยมิชอบ หรือรับจัดทำผลงานทางวิชาการ ไม่ว่าจะมีค่าตอบแทนหรือไม่เพื่อให้ผู้อื่นนำผลงานนั้นไปใช้ประโยชน์เพื่อปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งเลื่อนตำแหน่ง  เลื่อนวิทยฐานะ  หรือให้ได้รับเงินเดือนในอันดับที่สูงขึ้น
          11. เข้าไปเกี่ยวข้องกับการดำเนินการใด ๆ  อันมีลักษณะเป็นการทุจริตโดยการซื้อสิทธิหรือขายเสียงในการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภา  สมาชิกสภาท้องถิ่น  ผู้บริหารท้องถิ่นหรือการเลือกตั้งอื่นที่มีลักษณะเป็นการส่งเสริมการปกครองในระบอบประชาธิปไตยรวมทั้งการส่งเสริม สนับสนุน หรือ ชักจูงให้ผู้อื่นกระทำการในลักษณะเดียวกัน
          12. กระทำความผิดอาญาจนได้รับโทษจำคุก หรือโทษที่หนักกว่าจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุด ให้จำคุกหรือให้รับโทษที่หนักกว่าจำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาท  หรือลหุโทษ หรือกระทำการอื่นใดอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง
          13. เสพยาเสพติด หรือสนับสนุนให้ผู้อื่นเสพยาเสพติด
          14. เล่นการพนันเป็นอาจิณ
          15. กระทำการล่วงละเมิดทางเพศต่อผู้เรียนหรือนักศึกษาไม่ว่าจะอยู่ในความดูแลรับผิดชอบ ของตนหรือไม่

          การดำเนินการทางวินัย 
          การดำเนินการทางวินัย  กระบวนการและขั้นตอนการดำเนินการในการออกคำสั่งลงโทษ  ซึ่งเป็นขั้นตอนที่มีลำดับก่อนหลังต่อเนื่องกัน อันได้แก่  การตั้งเรื่องกล่าวหาการสืบสวนสอบสวน  การพิจารณาความผิดและกำหนดโทษและการสั่งลงโทษรวมทั้งการดำเนินการต่าง ๆ  ในระหว่างการสอบสวนพิจารณา เช่น การสั่งพัก การสั่งให้ออกไว้ก่อน เพื่อรอฟังผลการสอบสวนพิจารณา
          หลักการดำเนินการทางวินัย     
          1. กรณีที่ผู้บังคับบัญชาพบว่าผู้ใต้บังคับบัญชาผู้ใดกระทำผิดวินัยโดยมีพยานหลักฐานในเบื้องต้นอยู่แล้วผู้บังคับบัญชาก็สามารถดำเนินการทางวินัยได้ทันที
          2. กรณีที่มีการร้องเรียนด้วยวาจาให้จดปากคำ ให้ผู้ร้องเรียนลงลายมือชื่อและวัน เดือน ปี พร้อมรวบรวมพยานหลักฐานอื่นๆ ประกอบการพิจารณาแล้วดำเนินการให้มีการสืบสวนข้อเท็จจริง โดยตั้งกรรมการสืบสวนหรือสั่งให้บุคคลใดไปสืบสวนหากเห็นว่ามีมูลก็ตั้งคณะกรรมการสอบสวน ต่อไป
          3. กรณีมีการร้องเรียนเป็นหนังสือผู้บังคับบัญชาต้องสืบสวนในเบื้องต้นก่อนหากเห็นว่า ไม่มีมูลก็สั่งยุติเรื่องถ้าเห็นว่ามีมูลก็ตั้งคณะกรรมการสอบสวนต่อไป  กรณีหนังสือร้องเรียนไม่ลง ลายมือชื่อและที่อยู่ของผู้ร้องเรียนหรือไม่ปรากฏพยานหลักฐานที่แน่นอนจะเข้าลักษณะของบัตร สนเท่ห์  มติครม.ห้ามมิให้รับฟังเพราะจะทำให้ข้าราชการเสียขวัญในการปฏิบัติหน้าที่
          ขั้นตอนการดำเนินการทางวินัย            
1.      การตั้งเรื่องกล่าวหาเป็นการตั้งเรื่องดำเนินการทางวินัยแก่ข้าราชการเมื่อปรากฏ
กรณีมีมูลที่ควรกล่าวหาว่า กระทำผิดวินัยมาตรา 98 กำหนดให้ผู้บังคับบัญชาแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนเพื่อดำเนินการ สอบสวนให้ได้ความจริงและความยุติธรรมโดยไม่ชักช้าผู้ตั้งเรื่องกล่าวหาคือผู้บังคับบัญชาของผู้ถูก กล่าวหาความผิดวินัยไม่ร้ายแรง ผู้บังคับบัญชาชั้นต้นคือ ผู้อำนวยการสถานศึกษาสามารถแต่งตั้ง กรรมการสอบสวนข้าราชการในโรงเรียนทุกคนความผิดวินัยร้ายแรง ผู้บังคับบัญชาผู้มีอำนาจบรรจุ และแต่งตั้งตามมาตรา 53 เป็นผู้มีอำนาจบรรจุและแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน
          2. การแจ้งข้อกล่าวหา    มาตรา 98  กำหนดไว้ว่า ในการสอบสวนจะต้องแจ้งข้อกล่าวหาและสรุปพยานหลักฐาน ที่สนับสนุนข้อกล่าวหาเท่าที่มีให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบ โดยระบุหรือไม่ระบุชื่อพยานก็ได้เพื่อให้ ผู้ถูกกล่าวหามีโอกาสชี้แจงและนำสืบแก้ข้อกล่าวหา
          3.  การสอบสวน คือ  การรวบรวมพยานหลักฐานและการดำเนินการทั้งหลายอื่นเพื่อจะทราบข้อเท็จจริง และพฤติการณ์ต่าง ๆ หรือพิสูจน์เกี่ยวกับเรื่องที่กล่าวหาเพื่อให้ได้ความจริงและยุติธรรม
และ เพื่อพิจารณาว่าผู้ถูกกล่าวหาได้กระทำผิดวินัยจริงหรือไม่ถ้าผิดจริงก็จะได้ลงโทษ ข้อยกเว้น กรณีที่เป็นความผิดที่ปรากฏชัดแจ้งตามที่กำหนดในกฎ ก.ค.ศ.จะดำเนินการ ทางวินัยโดยไม่สอบสวนก็ได้
            ความผิดที่ปรากฏชัดแจ้งตามที่กำหนดในกฎ ก.ค.ศ. ว่าด้วยกรณีความผิดที่ปรากฏชัดแจ้ง พ.ศ.    
2549  
 ก.  การกระทำผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรงที่เป็นกรณีความผิดที่ปรากฏอย่างชัดแจ้ง ได้แก่
          (1) กระทำความผิดอาญาจนต้องคำพิพากษาถึงที่สุดว่าผู้นั้นกระทำผิดและผู้บังคับ บัญชาเห็นว่าข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาประจักษ์ชัด
          (2) กระทำผิดวินัยไม่ร้ายแรงและได้รับสารภาพเป็นหนังสือต่อผู้บังคับบัญชาหรือให้ถ้อยคำรับสารภาพต่อผู้มีหน้าที่สืบสวนหรือคณะกรรมการสอบสวนโดยมีการบันทึกถ้อยคำเป็นหนังสือ
ข. การกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงที่เป็นกรณีความผิดที่ปรากฏชัดแจ้ง  ได้แก่
          (1)  กระทำความผิดอาญาจนได้รับโทษจำคุกหรือโทษที่หนักกว่าจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกหรือลงโทษที่หนักกว่
Adobe Acrobat Document คู่มือการปฏิบัติงาน การบริหารงานบุคคล  |  ดาวน์โหลดไฟล์